รู้หรือไม่? ในปี 2562 ในประเทศไทยมีผู้ป่วยสโตรกหรือผู้ป่วยหลอดเลือดสมองประมาณ 300,00 – 400,000 คน และมีผู้ป่วยเสียชีวิตประมาณ 35,000 คน
จากการสำรวจประชากรขององค์กรโรคหลอดเลือดสมองโลกพบว่า ปี 2563 มีผู้ป่วยเป็นสโตรกหรือโรคหลอดเลือดสมองกว่า 80 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5.5 ล้านคน พบผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้น ถึง 14.5 ล้านคนต่อปี และ 1 ใน 4 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก คืออะไร?
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก คือ ภาวะการขาดเลือดอย่างเฉียบพลันในสมอง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น หลอดเลือดอุดตันหรือหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ ส่งผลให้สมองถูกลาย เสียหาย จนสุดท้ายสมองสูญเสียการทำงาน และเนื้อสมองตายไปในที่สุด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) การอุดตันของหลอดเลือดอาจเกิดจากลิ่มเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไหลมาอุดตำแหน่งของหลอดเลือดสมอง หรืออาจเกิดจากลิ่มเลือดก่อตัวเป็นก้อนเลือดในหลอดเลือด แล้วค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนอุดตันหลอดเลือด ส่วนอาการตีบของหลอดเลือดเกิดจากคลอเลสเตอรอลหรือไขมันในผนังหลอดเลือดที่มีปริมาณมากขึ้น จนรูหลอดเลือดค่อย ๆ ตีบลง ความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการลำเลี่ยงเลือดลดลงจนเกิดอาการหลอดเลือดตีบ มักเกิดร่วมกับโรคประจำตัว เช่น โรคไขมันในเลือดสูง
-
โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากหลอดเลือดแตก (Hemorrhagic Stroke) มักจะเกิดพยาธิสภาพที่หลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น เปราะบาง ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดร่วมด้วยกับโรคความดันโลหิตสูง ทำให้บริเวณหลอดเลือดนั้นปริแตกได้ง่าย ผลที่ตามมาคือ ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลงอย่างเฉียบพลัน
ใครที่มีภาวะเสี่ยงเป็นสโตรกหรือโรคหลอดเลือดสมองบ้าง?
-
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง
-
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ มีอัตราการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ ซึ่งอาจะทำให้เกิดลิ่มเลือดขึ้นภายในหัวใจ และเมื่อลื่มเลือดตรงนี้หลุดไป อาจเดินทางไปอุดตันที่สมอง
-
ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
-
ผู้ที่รับประทานฮอร์โมนเพศหญิง จะเพิ่มโอกาสการเกิดสโตรกหรือโรคหลอดเลือดสมองได้
วิธีสังเกตอาการสโตรกหรือเส้นเลือดในสมองแตก
แน่นอนว่าโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรกเป็นโรคที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตาม โรคหลอดเลือดสมองจะส่ง 6 สัญญานเพื่อเตือนให้เราระวังตัว ซึ่งบางครั้งอาการอาจะเกิดขึ้นแบบชั่วคราว มักไม่เกิน 60 นาที และหายเป็นปกติ แต่หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที รีบตรวจ รีบรักษา อาจป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรกได้
-
ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด
-
มีอาการชา เช่น แขนหรือขาชา หรือแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก
-
นึกคำพูดไม่ออก หรือฟังคนอื่นไม่เข้าใจ
-
เดินเซ ทรงตัวลำบาก
-
ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
-
การมองเห็นผิดปกติ เช่น เกิดภาพซ้อน
ทำไมสโตรกต้องทำกายภาพบำบัดภายใน 6 เดือนแรก?
หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “เป็นสโตรกต้องรีบฟื้นฟูภายใน 6 เดือนแรกหรือช่วง Golden Period” แต่เคยสงสัยไหมคะว่า เอ๊ะ ทำไมต้องฟื้นฟูในช่วงเวลานี้ ฟื้นฟูหลังจากนี้ได้ไหม ช่วงเวลานี้สำคัญอย่างไร หาคำตอบได้ที่นี่เลย
Golden Period คือ คือ ช่วงเวลาทอง เริ่มนับตั้งแต่ผู้ป่วยผ่านพ้นวิกฤติเป็นต้นไป ไม่เกิน 3 เดือนหรืออย่างมากที่สุด 6 เดือน และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เพราะสมองและเส้นประสาทยังสามารถกระตุ้น ฟื้นฟูได้ แต่ถ้าหากหลังจาก 6 เดือนไปแล้ว ก็ยังสามารถกายภาพบำบัดได้อยู่ แต่อัตราการพัฒนาของสมองจะลดน้อยลง
ผู้ป่วยที่เป็นสโตรกหรือหลอดเลือดสมองมีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตประจำวันเหมือนหรือใกล้เคียงปกติขึ้นอยู่กับความเสียหายของสมองและการกายภาพบำบัด เพราะฉะนั้น หากคุณหรือคนที่คุณรักผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปแล้ว ควรเริ่มทำกายภาพบำบัดกับผู้เชี่ยวชาญทันที
การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งได้ 3 ระยะ
-
ระยะเฉียบพลัน
คือ ระยะ 1 – 2 สัปดาห์นับจากผู้ป่วยมีอาการสโตรกหรือโรคหลอดเลือดสมอง การบำบัดในระยะนี้ จะเริ่มตั้งแต่ผู้ป่วยยังนอนอยู่บนเตียง โดยจุดประสงค์ คือ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ป้องกันกล้ามเนื้อหดตัวและข้อต่อยึดติด และเพื่อให้ผู้ป่วยสูญเสียพละกำลังน้อยที่สุด
-
ระยะฟื้นตัว
คือ ระยะ 3-6 เดือนนับจากผู้ป่วยมีอาการสโตรกหรือโรคหลอดเลือดสมอง เป็นระยะที่ต้องเร่งการรักษาและกายภาพบำบัด เพื่อให้เซลล์สมองกลับมาทำงาน และฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติ
-
ระยะทรงตัว