เส้นเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดในสมองเกิดการแตก ฉีกขาด หรือรั่วออกจากเส้นเลือด ทำให้เลือดคั่งอยู่ในบริเวณข้างเคียงของเนื้อสมอง จากภาวะนี้เนื้อสมองจึงได้รับการบาดเจ็บ และส่งผลให้การทำงานของระบบประสาทผิดปกติ
ทุก ๆ 2 นาที ในประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเกิดขึ้น 1 คน
30% อาจเสียชีวิต, 30% พิการรุนแรงจนอาจไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้, และอีก 40% คือผู้ที่มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ หรืออาจมีอาการของโรคหลงเหลืออยู่บ้าง
เส้นเลือดในสมองแตก คืออะไร
โรคเส้นเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดในสมองเกิดการแตก ฉีกขาด หรือรั่วออกจากเส้นเลือด ทำให้เลือดคั่งอยู่ในบริเวณข้างเคียงของเนื้อสมอง จากภาวะนี้เนื้อสมองจึงได้รับการบาดเจ็บ และส่งผลให้การทำงานของระบบประสาทผิดปกติ ซึ่งเส้นเลือดในสมองแตกเป็นหนึ่งในรูปแบบของ โรคเส้นเลือดสมองหรือสโตรก (Stroke).
โรคเส้นเลือดสมองแตกนี้ถือว่าเป็นภาวะเร่งด่วนทางการแพทย์ ควรได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะหากไม่สามารถรักษาได้ทันอาจนำไปสู่อาการอัมพฤกษ์ อัมพาต (Paralysis) หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น เราควรรู้จักกับโรคนี้ เพื่อสังเกตคนรอบข้างและตัวเอง พร้อมดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากพฤติกรรมเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคนี้ได้ในอนาคต.
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดในสมองแตก
-
- อายุ: ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยชัดเจนเมื่อมากกว่า 50 ปี
- ความดันสูง: ปัจจัยหลักที่ทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอ
- การสูบบุหรี่: ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอและเพิ่มความดันโลหิต
- การดื่มสุรา และใช้สารเสพติด
- การติดเชื้อ
- โรคทางพันธุกรรม
- ภาวะอ้วน และการขยับร่างกายน้อย
- ปัจจัยที่อาจสัมพันธ์: โรคไตเรื้อรัง, เบาหวาน
- เส้นเลือดโป่งพองตั้งแต่กำเนิด
- การใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
เราสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคเส้นเลือดสมองแตกด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ควบคุมโรคประจำตัว, หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง, และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี.
“BE FAST” เช็คอาการของเส้นเลือดในสมองแตก
- B – BALANCE: สูญเสียการทรงตัว
- E – EYE: มองเห็นภาพซ้อน ภาพเบลอ หรือสูญเสียการมองเห็น
- F – FACE: ใบหน้าอ่อนแรง มีอาการชา หรือปากเบี้ยว
- A – ARM: แขนขาอ่อนแรง หรือมีอาการชาครึ่งซีก
- S – SPEECH: พูดไม่ชัด พูดลำบาก พูดไม่ได้ หรือพูดไม่เข้าใจ
- T – TIME: หากมีอาการเหล่านี้ ควรไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีอาการปวดศีรษะแบบรุนแรงและฉับพลัน (Thunderclap Headache) และอาการหมดสติ (Coma).
ปวดหัวที่สุดในชีวิต แบบที่ไม่เคยปวดมาก่อน
อาการปวดหัวแบบฉับพลัน ทันที และรุนแรง คือสัญญาณเตือนของภาวะเลือดออกในสมอง (Thunderclap Headache). เมื่อพบผู้มีอาการนี้ ควรรีบพาไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด.
เมื่อผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตกถึงมือแพทย์
โรคเลือดออกในสมองเป็นโรคที่ไม่มีอาการเตือนมาก่อน ดังนั้น ก่อนมาถึงโรงพยาบาลผู้ป่วยมักมีอาการ “BE FAST” มาแล้ว แพทย์จึงจำเป็นต้องทำการตรวจวินิจฉัย ได้แก่:
- ซักประวัติ: อาการ, โรคประจำตัว, ปัจจัยเสี่ยง
- การตรวจร่างกาย: ความดัน, สัญญาณชีพ, ระบบประสาท
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: ตรวจค่าเลือด, ปัสสาวะ
- การตรวจทางรังสี: เช่น CT Scan, MRI
เป็นสโตรกแล้ว ร่างกายอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เนื้อเยื่อสมองที่เสียหายจากสโตรกอาจไม่สามารถฟื้นฟูได้เต็มที่ ขึ้นอยู่กับส่วนที่ได้รับผลกระทบ เช่น:
- ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว และการทรงตัว
- ปัญหาด้านการสื่อสาร
- ปัญหาด้านการคิด ความจำ
- ปัญหาด้านการมองเห็น
- ปัญหาด้านการกลืน และการขับถ่าย
อาการเหล่านี้สามารถดีขึ้นได้ด้วยการทำกายภาพบำบัด.
สมองของเรามหัศจรรย์กว่าที่คิด!
เมื่อเนื้อสมองบางส่วนเสียหาย เซลล์สมองรอบ ๆ จะเริ่มเรียนรู้และสื่อสารกับสมองส่วนอื่นๆ เพื่อชดเชยการทำงาน (Neuroplasticity). กระบวนการนี้เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนซ้ำ ๆ.
เริ่มต้นฟื้นฟูผู้ป่วยโรคเส้นเลือดสมองแตก
เมื่อผู้ป่วยพ้นภาวะวิกฤติแล้ว ควรเริ่มฟื้นฟูโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งเริ่มเร็ว ร่างกายก็จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น.
Check List สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเมื่อผู้ป่วยเริ่มฟื้นฟู
- เริ่มฟื้นฟูเร็วที่สุด
- ทดสอบการกลืน (Swallowing Test)
- ทดสอบการเคลื่อนไหว (Mobility Assessment)
- ทดสอบการสื่อสารและการรับรู้
- ตรวจระดับสารอาหารและน้ำในร่างกาย
- ตั้งเป้าหมายในการฟื้นฟู
- เลือกศูนย์ฟื้นฟูที่เหมาะสม
การฟื้นฟูที่มากกว่าการฟื้นฟู
การฟื้นฟูผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตกควรเป็นแบบเฉพาะบุคคล เพราะอาการและต้นเหตุจะแตกต่างกันในแต่ละคน.
- กายภาพบำบัด: ฝึกความแข็งแรงและทักษะการเคลื่อนไหว
- กิจกรรมบำบัด: ฝึกทักษะการใช้งานกล้ามเนื้อและชีวิตประจำวัน
- อรรถบำบัด: ฝึกการพูดและการหายใจ
- ฟื้นฟูความคิดและความจำ
- ฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วย
ฟื้นฟูผู้ป่วยให้ดูแลตัวเองได้แบบยั่งยืน
แนวคิด “ไคโก-โดะ” คือการฟื้นฟูผู้ป่วยให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากที่สุด.
บทความนี้ ได้รับการตรวจทานโดย: นพ.วุทธิกรณ์ พันธุ์ประสิทธิ์ (อายุรแพทย์ระบบประสาท โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ)