PNKG RECOVERY CENTER ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง(Stroke) ระบบประสาท ฟื้นฟูหลังผ่าตัด และผู้สูงอายุ

ภาวะเลือดออกในสมอง 9 อาการเด่น เสียงเตือนจากสมองก่อนวิกฤต

  • Home
  • บทความ
  • ภาวะเลือดออกในสมอง 9 อาการเด่น เสียงเตือนจากสมองก่อนวิกฤต

ทำความรู้จักเลือดออกในสมอง คืออะไร? เกิดจากอะไร? ทำไมภาวะนี้ถึงอันตรายต่อชีวิต เช็ก 9 อาการเด่น รู้ทันนาทีวิกฤต เพิ่มโอกาสรอดชีวิต ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเซลล์สมอง นอกจากอุบัติเหตุแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดภาวะนี้อีกไหม? PNKG Recovery and Elderly Care ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง พร้อมไขข้อสงสัยทั้งหมดได้ที่นี่

เลือดออกในสมอง คืออะไร?

ภาวะเลือดออกในสมอง (Intracerebral Hemorrhage) คือ ภาวะที่เส้นเลือดในสมองรั่ว หรือซึม โดยเลือดที่ไหลจะไปกดเซลล์สมอง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและเสียหาย จนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจนำไปสู่อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้ โดยภาวะนี้สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทตามตำแหน่งที่เลือดออก ได้แก่ 

  • ภาวะเลือดออกในเนื้อสมอง
  • เลือดออกภายในเนื้อเยื่อสมองหุ้มกะโหลกศีรษะ โดยสามารถแบ่งได้ 3 ชั้น
    • Epidural : เลือดออกระหว่างกระดูกกะโหลกศีรษะและชั้นเยื่อหุ้มด้านนอกสุด
    • Subdural : เลือดออกภายในเยื่อหุ้มสมองชั้นนอก (Dura) กับเนื้อสมอง
    • Subarachnoid : เลือดออกระหว่างเยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (Arachnoid) 

เลือดออกในสมอง สาเหตุเกิดจากอะไร? 

ภาวะเลือดออกในสมองสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น อุบัติเหตุ ลิ่มเลือดอุดตัน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อาการหลอดเลือดผิดปกติ ภาวะเลือกออกผิดปกติ เป็นต้น

นอกจากเลือดออกในสมองจากอุบัติเหตุแล้ว ภาวะนี้ยังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิต และสาเหตุที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย ได้แก่

  • อาการหลอดเลือดผิดปกติ เช่น เส้นเลือดโป่งพอง (Aneurysm) ภาวะหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำผิดปกติในสมอง (AVM) เป็นต้น ทำให้ผนังหลอดเลือดเปราะบางกว่าปกติ เมื่อได้รับแรงดันเลือดที่ไหลผ่าน จะส่งผลผนังหลอดเลือดโป่งพอง และมีโอกาสปริแตกได้ตลอดเวลา
  • สมองมีการสะสมโปรตีนในหลอดเลือดผิดปกติ : โปรตีนชนิดนี้ เรียกว่า อะไมลอยด์ (Amyloid) เป็นโปรตีนที่จะเพิ่มขึ้นตามอายุ และอาจทำให้หลอดเลือดในสมองปริแตกได้ 
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ (Bleeding Disorders) : เช่น ฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) หรือโรคเลือดออกง่ายหยุดยาก และภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) การใช้งานต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด 
  • มะเร็งหรือเนื้องอกในสมอง 
  • ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด
  • เบาหวาน
  • ความดันโลหิตสูง
  • อายุที่มากขึ้น
  • ลิ่มเลือดอุดตัน
  • สมาชิกภายในครอบครัวเคยมีประวัติเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
  • การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และใช้สารเสพติด 

เลือดออกในสมองกับ 9 อาการเด่น สัญญาณเตือนจากสมอง

เลือดออกในสมอง เป็นอาการที่สามารถรักษาให้หายได้ โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาที่ทันเวลาและเหมาะสม และสามารถสังเกต 9 อาการเด่น สัญญาณเตือนจากสมองได้

ภาวะนี้สามารถรักษาให้หายได้ แต่ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาที่ทันเวลาและเหมาะสม โดยสามารถสังเกตได้จาก 9 อาการเด่น สัญญาณเตือนจากสมองได้ ดังนี้ 

  • ปวดหัวอย่างรุนแรง และฉับพลันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
  • มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
  • สูญเสียการทรงตัว
  • สับสน ซึม หรือหมดสติ
  • อ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย ปากเบี้ยว
  • พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง หรือมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ไม่สามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้ 
  • มีภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia)
  • ตาพร่ามัว การมองเห็นผิดปกติ
  • อาจมีอาการชัก

วิธีการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในสมอง

แพทย์ผู้ทำการรักษาจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ปริมาณเลือด ตำแหน่ง สาเหตุ และช่วงเวลาที่ได้รับการรักษา ยิ่งผู้ป่วยได้รับการรักษาเร็วเท่าไร ก็ยิ่งลดความเสียหายของเซลล์สมองได้มากเท่านั้น และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการฟื้นฟูร่างกายได้มากยิ่งขึ้น โดยแนวทางการรักษาสามารถแบ่ง 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่ 

การรักษาด้วยยา

แพทย์จะทำการ CT Scan สมอง เพื่อดูว่า เลือดออกบริเวณไหน และสมองได้รับความเสียหายระดับไหน โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษากรณีที่เลือดออกไม่มาก เป็นจุดเล็ก ๆ และไม่มีอาการอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ยาความดันโลหิต ยากันโรคลมชัก (Anti-epileptic medicine) ยาบรรเทาอาการปวด ยาคลายความวิตกกังวล เป็นต้น ทั้งนี้ หากผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจด้วย แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านการแข็งตัวเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือดเพิ่มเติมด้วย 

การรักษาด้วยการผ่าตัด

ส่วนการรักษาด้วยการผ่าตัด เป็นวิธีที่ใช้ในกรณีที่ปริมาณเลือดออกมาก จนทำให้สมองบวม โดยการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด สามารถแบ่งได้ 3 วิธีหลัก ๆ ได้แก่ 

  • การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ (Craniectomy) : เพื่อนำลิ่มเลือดหรือก้อนเลือดออก ซึ่งจะช่วยลดความดันในสมองและป้องกันความเสียหายของเซลล์สมองได้เป็นอย่างดี 
  • ใส่สายน้ำในโพรงสมอง : เพื่อลดแรงดันในกะโหลกศีรษะ
  • คลิปหนีบที่บริเวณเส้นเลือดโป่งพอง (Clipping) : กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการหลอดเลือดโป่งพอง และยังไม่ปริแตก

วิธีการฟื้นฟูผู้ป่วย

ส่วนวิธีการฟื้นฟูร่างกายหลังรักษาอาการเลือดออกในสมอง โดยทั่วไป นักกายภาพบำบัด และนักกิจกรรมบำบัด จะออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมกับประสิทธิภาพร่างกายที่เหลืออยู่ของผู้ป่วย เช่น การฝึกการเคลื่อนไหว การฝึกกลืน ฝึกความรู้และความเข้าใจ การฝึกพูด

ส่วนวิธีการฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยหลังทำการรักษา โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของโรค ความรุนแรงของอาการ และช่วงเวลาที่ทำการรักษา โดยนักกายภาพบำบัด (Physical Therapist) และนักกิจกรรมบำบัด (Occupation Therapist) จะออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมกับประสิทธิภาพร่างกายที่เหลืออยู่ของผู้ป่วย เช่น 

เพื่อฟื้นฟูการทำงานของสมองให้กลับมามีประสิทธิภาพ และใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด และที่สำคัญ ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะซ้ำได้อีกด้วย 

วิธีป้องกันภาวะเลือดออกในสมอง

โดยทั่วไปสามารถป้องกันได้ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ได้แก่  

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ หากทำไม่ได้จริง ๆ ควรลดปริมาณให้น้อยลง
  • ผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิต หรือโรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับความดัน และน้ำตาล
  • หากรับประทานยาต้านเกล็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง 

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาศูนย์ฟื้นฟูหรือศูนย์กายภาพบำบัดหลังผ่าตัดสมอง โรคหลอดเลือดสมอง หรือสโตรก และโรคอื่น ๆ ให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพด้วยศาสตร์การฟื้นฟูร่างกายแบบไคโก-โดะ (Kaigo-Do) นึกถึง PNKG Recovery and Elder Care ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยหลังผ่าตัดและดูแลผู้สูงอายุ บริการกายภาพบำบัดครบวงจรบนพื้นฐานการวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล สามารถติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

  • ศูนย์ PNKG Recovery and Elder Care ชั้น 2 โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น.
  • โทร : 080-910-2124
  • Line : PNKG
  • Facebook : PNKG Recovery and Elder Care

คำถามที่พบบ่อย

เลือดออกในสมอง หายเองได้ไหม

ไม่สามารถหายเองได้ และควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากไม่เข้ารับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ความพิการ หรือเสียชีวิตได้

เลือดออก ในสมอง มีอาการอย่างไร

– ปวดหัวอย่างรุนแรง และฉับพลันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
– มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
– สูญเสียการทรงตัว
– สับสน ซึม หรือหมดสติ
– อ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย ปากเบี้ยว
– พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง หรือมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ไม่สามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้ 
– มีภาวะกลืนลำบาก
– ตาพร่ามัว การมองเห็นผิดปกติ
– อาจมีอาการชัก

เลือดออก ในสมอง รักษายังไง

1. การรักษาด้วยยา : เช่น ยาความดันโลหิต ยากันโรคลมชัก (Anti-epileptic medicine) ยาบรรเทาอาการปวด ยาคลายความวิตกกังวล เป็นต้น ทั้งนี้ หากผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจด้วย แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านการแข็งตัวเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือดเพิ่มเติมด้วย 
2. การรักษาด้วยการผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ (Craniectomy) ใส่สายน้ำในโพรงสมอง และคลิปหนีบที่บริเวณเส้นเลือดโป่งพอง (Clipping)

เลือดออก ในสมอง มีโอกาสรอดแค่ไหน? 

โอกาสรอดชีวิตของผู้ที่มีภาวะนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
– ตำแหน่งที่เลือดออก : หากเลือดออกในส่วนที่สำคัญ เช่น ส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับการหายใจ อาจทำให้โอกาสรอดชีวิตน้อยกว่าตำแหน่งอื่น ๆ 
– ปริมาณเลือดที่ออก 
– ความรวดเร็วในการรักษา : ยิ่งผู้ป่วยรับการรักษาเร็วเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความเสียหายของเซลล์สมอง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่จะนำไปสู่ความพิการในอนาคตได้
– สาเหตุที่ทำให้เกิด : เช่น หลอดเลือดสมองแตกจากความดันโลหิตสูง หรือจากอุบัติเหตุ ก็มีผลต่อการพยากรณ์โรคที่แตกต่างกัน
– สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย : ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงโดยทั่วไปมักมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าผู้ที่มีโรคประจำตัว
– อายุ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า