อาการมือสั่น เกิดจากอะไร อาการสั่นแบบไหน เข้าข่ายผิดปกติ 

อาการมือสั่น เกิดจากอะไร อาการสั่นแบบไหน เข้าข่ายผิดปกติ 
Table of Contents

อาการมือสั่น เกิดจากอะไร ภาวะสั่นที่เจอได้บ่อย โดยเฉพาะตอนตื่นเต้น กังวล ดื่มกาแฟเยอะ หรือพักผ่อนไม่พอ แต่ถ้ามีอาการมือสั่นตลอดเวลา สั่นทั้ง ๆ ที่นั่งเฉย ๆ หรือสั่นจนรบกวนชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้ ซึ่งอาการมือสั่น ไม่มีแรงเกิดได้หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อรังอย่างพาร์กินสัน โรคยอดฮิตที่ส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดจนตีความว่า ถ้ามีอาการมือสั่น = พาร์กินสัน อาการสั่นแบบไหนเข้าข่ายผิดปกติ เช็กสัญญาณอันตรายที่ไม่จบแค่อาการสั่น

รู้จักอาการมือสั่นทั้ง 2 ประเภท แบบฉบับเข้าใจง่าย 

โดยทั่วไปมือสั่นตลอดเวลาจะสามารถแบ่งได้ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ อาการมือสั่นขณะอยู่นิ่ง และอาการสั่นขณะเคลื่อนไหว โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 

อาการสั่นขณะอยู่นิ่ง (Resting tremor)

อาการสั่นประเภทนี้จะเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยไม่ได้ขยับมือหรือทำกิจกรรม โดยเฉพาะตอนที่ผู้ป่วยวางมือบนตักหรือข้างลำตัว เครียด หรือกังวล และอาการสั่นจะลดลงหรือหายไปเมื่อเริ่มเคลื่อนไหว โดยอาการสั่นประเภทนี้จะพบบ่อยในโรคพาร์กินสัน

อาการสั่นขณะเคลื่อนไหว (Action tremor)

ส่วนประเภทนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการสั่นเฉพาะตอนเคลื่อนไหวเท่านั้น ถ้าอยู่นิ่ง ๆ จะดูปกติดีอย่างทุก โดยอาการสั่นประเภทนี้จะพบบ่อยในกลุ่มโรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ (Essential Tremor)

มือสั่น เกิดจากอะไร? ความเครียด…หรือสัญญาณโรคร้าย

อาการมือสั่น (Hand Tremor) เป็นอาการกล้ามเนื้อสั่นที่เกิดซ้ำ ๆ และควบคุมไม่ได้ ดูผ่าน ๆ อาการสั่นในแต่ละครั้งอาจจะมีลักษณะคล้าย ๆ กัน แต่มือสั่น กลับเกิดจากสาเหตุแตกต่างกัน เช่น ความเครียด รับคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มชูกำลังมากเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะขาดน้ำหรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่บางครั้งอาการมือสั่นยังอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายโดยที่หลายคนไม่เคยรู้ ไม่ว่าจะเป็น

อาการมือสั่น (Hand Tremor) เป็นอาการกล้ามเนื้อสั่นที่เกิดซ้ำ ๆ และควบคุมไม่ได้ ดูผ่าน ๆ อาการสั่นในแต่ละครั้งอาจจะมีลักษณะคล้าย ๆ กัน แต่มือสั่น กลับเกิดจากสาเหตุแตกต่างกัน เช่น ความเครียด รับคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มชูกำลังมากเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะขาดน้ำหรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่บางครั้งอาการมือสั่นยังอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายโดยที่หลายคนไม่เคยรู้ ไม่ว่าจะเป็น

โรคพาร์กินสัน (Parkinson Disease)

หนึ่งในโรคยอดฮิตที่หลายคนเข้าใจผิดว่า ถ้ามีอาการมือสั่น = พาร์กินสัน โดยโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากสมองและระบบประสาทเริ่มเสื่อมสภาพที่ทำหน้าที่ในการผลิตสารสื่อประสาท (Dopamine) ลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่น มือสั่นข้างเดียว เคลื่อนไหวช้าลง กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง และมีปัญหาเรื่องการทรงตัว 

โรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ (Essential Tremor)

โรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ (Essential Tremor) คือ ภาวะมือสั่นตลอดเวลาเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจากพันธุกรรม โดยผู้ป่วยจะมีอาการสั่นเมื่อเคลื่อนไหว โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องการความแม่นยำ เช่น เขียนหนังสือ หยิบของ หรือยกแก้วน้ำ

ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism)

เป็นภาวะที่ร่างกายทำงานผิดปกติ ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป ส่งผลให้เมตาบอลิซึมและระบบประสาททำงานเร็วขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมือสั่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย เหงื่อออกมากผิดปกติ น้ำหนักลด หรือรู้สึกร้อนผิดปกติ เป็นต้น

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

เมื่ออาการมือสั่น เกิดจากระดับน้ำตาลลดต่ำ ร่างกายจะตอบสนองด้วยอาการสั่น ไม่มีแรง อ่อนเพลีย เหงื่อออก ใจสั่น หรือมึนงง ซึ่งเป็นภาวะที่พบบ่อยในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้อินซูลินหรือยาลดน้ำตาลในเลือด หรือผู้ที่ใช้แรงงานหนัก ๆ โดยไม่ได้รับประทานอาหาร การรับประทานของหวานเล็กน้อยช่วยลดอาการได้ทันที แต่ถ้าเกิดซ้ำบ่อยควรตรวจสุขภาพเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

โรคทางระบบประสาทและสมอง (Neuro Disease)

นอกจากนี้ ยังมีโรคทางระบบประสาทและสมองอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอาการสั่นได้เช่นกัน เช่น 

  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) : ความเสียหายของสมองบางตำแหน่งทำให้ระบบควบคุมการเคลื่อนไหวผิดปกติ ทำให้มือสั่น หรือควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้
  • โรคเนื้องอกสมอง (Brain Tumor) : เนื้องอกสมองอาจกดทับหรือรบกวนการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เช่น สมองน้อย (Cerebellum) หรือ Basal Ganglia เมื่อสมองส่งสัญญาณควบคุมกล้ามเนื้อได้ไม่ปกติ ผู้ป่วยจึงมีอาการสั่น หรือมีปัญหาการทรงตัว อาจพบร่วมกับอาการปวดศีรษะ หรือแขนขาอ่อนแรง
  • ภาวะสมองเสื่อม (Demetia) : สมองส่วนที่เสื่อมอาจเกี่ยวข้องกับการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมอาการสั่นได้
  • ภาวะผิดปกติของสมองน้อย : สมองน้อยทำหน้าที่ในการควบคุมการทรงตัวและความแม่นยำของการเคลื่อนไหว เมื่อสมองน้อยมีอาการผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมือสั่นได้เช่นกัน

ผลข้างเคียงจากยา

ยาบางชนิดยังมีผลข้างเคียงทำให้ผู้ป่วยมีอาการสั่นผิดปกติ เช่น ยารักษาโรคหอบหืด ยาต้านอาการซึมเศร้า ยากันชัก ยาลดความดันโลหิตบางชนิด เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่อาการสั่นจะเกิดในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มใช้ยา หรือเพิ่มขนาดยา หากผู้ป่วยมีอาการสั่นผิดปกติ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับอาการ และไม่ควรหยุดการใช้ยาเอง เพราะบางโรคจำเป็นต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะใจเต้นผิดจังหวะ หรือความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน 

ขาดวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น

นอกจากนี้ การที่ผู้ป่วยมีอาการมือสั่น ยังอาจเกิดจากการขาดวิตามินหรือแร่ธาตุได้อีกด้วย เช่น วิตามิน B1 B6 B12 แมกนีเซียม หรือโฟเลต ทำให้การควบคุมกล้ามเนื้อผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมือสั่น ไม่มีแรง ชา หรือกล้ามเนื้อกระตุกได้ 

7 เช็กลิสต์อาการมือสั่นแบบไหนผิดปกติ? เช็กให้ทันก่อนอันตราย

7 เช็กลิสต์อาการสั่นแบบไหนเข้าข่ายผิดปกติ อาการสั่นแบบไหนไม่ใช่แค่สภาวะทางอารมณ์ แต่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะที่เกี่ยวกับระบบประสาท ฮอร์โมน เมตาบอลิซึมได้ รู้ทันก่อน พบแพทย์ก่อน รักษาได้ก่อนอาการรุนแรง

7 เช็กลิสต์อาการสั่นแบบไหนเข้าข่ายผิดปกติ อาการสั่นแบบไหนไม่ใช่แค่สภาวะทางอารมณ์ แต่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะที่เกี่ยวกับระบบประสาท ฮอร์โมน เมตาบอลิซึมได้ รู้ทันก่อน พบแพทย์ก่อน รักษาได้ก่อนอาการรุนแรง

  • อาการสั่นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย
  • สั่นข้างเดียว อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสมอง หรือโรคทางประสาทบางชนิด 
  • สั่นจนไม่สามารถควบคุมหรือใช้งานไม่ได้ เช่น เขียนหนังสือไม่ถนัด จับแก้วน้ำหก หยิบของตกบ่อย
  • มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัดหรือพูดไม่รู้เรื่อง มีปัญหาเรื่องการทรงตัว หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรง 
  • อาการสั่นหลังใช้ยาบางชนิด 
  • มือสั่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดเร็วกว่าปกติ
  • มีอาการสั่นตั้งแต่อายุน้อย และครอบครัวมีประวัติมีอาการสั่นเหมือนกัน 

สรุปง่าย ๆ ถ้าผู้ป่วยเริ่มมีอาการมือสั่นบ่อยขึ้น แรงขึ้น หรือเกิดร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ควรรีบพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่เหมาะสม เพราะอาการสั่น อาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญของหลายโรคที่รักษาได้หากพบก่อนเวลา

การวินิจฉัยและค้นหาต้นเหตุของอาการสั่น

สำหรับวิธีการตรวจสอบว่าอาการมือสั่น เกิดจากอะไร จะเริ่มจากการซักประวัติผู้ป่วยและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น

  • ประเมินรูปแบบการสั่น 
  • ความถี่ในการสั่น ระดับความรุนแรง หรือซีกที่มีอาการสั่น
  • สถานการณ์ที่ทำให้มีอาการสั่น เช่น ความเครียด ตื่นเต้น หรือเฉพาะช่วงที่ดื่มกาแฟ เป็นต้น 
  • สอบถามประวัติครอบครัว
  • ยาโรคประจำตัว หรือยาที่ใช้เป็นประจำ 

จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกาย โดยจะเน้นการทำงานของระบบประสาทเป็นหลัก เพื่อวินิจฉัยสาเหตุและวางแผนการรักษาต่อไป เช่น 

  • การตรวจเลือด เพื่อตรวจการทำงานของไทรอยด์ ระดับน้ำตาล และสารอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการสั่น
  • การตรวจภาพสมองด้วย MRI หรือ CT scan
  • การส่งตรวจทางประสาทวิทยาพิเศษ เช่น EMG (Electromyography)

มือสั่น แก้ยังไง 4 แนวทางการรักษาอาการมือสั่นอย่างถูกจุด

4 แนวทางการรักษาอาการมือสั่นที่แพทย์พิจารณาเลือก ได้แก่ การใช้ยา การทำกายภาพบำบัด การทำกิจกรรมบำบัด การผ่าตัด (ในกรณีที่จำเป็น)

สำหรับแนวทางการรักษาอาการมือสั่นในผู้ป่วยแต่ละคน ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีเดียวกัน เพราะสาเหตุของมือสั่นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งความเครียด ใช้ยาบางชนิด ไปจนถึงโรคทางระบบประสาทที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง โดย 4 แนวทางการรักษาอาการมือสั่นที่แพทย์พิจารณาเลือก ได้แก่

การรักษาด้วยการใช้ยา 

เมื่ออาการสั่นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน การใช้ยาจึงเป็นแนวทางหลักที่ช่วยลดความรุนแรงของการสั่นและปรับการทำงานของระบบประสาทให้สมดุลขึ้น ซึ่งยาที่ใช้ในการควบคุมอาการสั่นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการสั่น เช่น

  • Propranolol (Beta-blocker): มักใช้กับ Essential Tremor ช่วยลดความรุนแรงของการสั่นเวลาทรงตัว/ใช้งาน
  • Primidone : สำหรับกันชัก
  • Levodopa : สำหรับผู้ป่วยพาร์กินสัน เพื่อทดแทนโดพามีนและลดอาการสั่นขณะพักร่วมกับอาการอื่น ๆ
  • Benzodiazepines : สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการสั่นจากความวิตกกังวล

การรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด

การทำกายภาพบำบัด (Physical Therapy) หนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดอาการมือสั่น โดยเฉพาะอาการมือสั่นที่เกิดจากพาร์กินสัน และโรคทางระบบประสาทและสมอง โดยการทำกายภาพบำบัดจะช่วยฟื้นฟูความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างมั่นคง โดยนักกายภาพบำบัดจะทำการประเมินลักษณะอาการสั่นของผู้ป่วย พร้อมประเมินความสามารถพื้นฐานของผู้ป่วย (Assessment) เพื่อออกแบบแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสาเหตุและอาการ 

ทาง PNKG Recovery and Elder Care เราเน้นการรักษาแบบองค์รวม โดยการนำเทคนิคและแนวทางการฟื้นฟูจากญี่ปุ่นมาปรับใช้การทำกายภาพบำบัดด้วยเทคนิค Manual Therapy ช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวและการควบคุมร่างกาย และทำให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เพิ่งเริ่มมีอาการ 

การรักษาด้วยการทำกิจกรรมบำบัด

ส่วนกิจกรรมบำบัดจะเป็นแนวทางการรักษาที่ไม่ได้โฟกัสแต่ลดอาการสั่นเพียงอย่างเดียว แต่นักกิจกรรมบำบัดจะประเมินจากสถานการณ์จริง รวมถึงผลกระทบจากอาการสั่นในการใช้ชีวิตประจำวันด้วย โดยเฉพาะกิจกรรมที่จำเป็นต้องใช้ความแม่นยำ เช่น การเขียนหนังสือ การรับประทานอาหาร เป็นต้น โดยจะเน้นการเสริมการควบคุมกล้ามเนื้อ ฝึกเทคนิคการจับสิ่งของให้มั่นคงขึ้น รวมถึงการฝึกกลืน (Swallowing Training) สำหรับผู้ที่มีอาการสำลักอาหารหรือน้ำบ่อย ควบคู่ไปพร้อม ๆ กับการปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การรักษาด้วยการผ่าตัด (ในกรณีที่จำเป็น)

และในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการสั่นอย่างรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีดังข้างต้น แพทย์อาจจะพิจารณาความเหมาะสมอาการผู้ป่วยในแต่ละราย และแนะนำการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด โดยวิธีการผ่าตัดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น 

  • การฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation – DBS) 
  • การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงแบบไม่ต้องเปิดกะโหลก (Focused Ultrasound)

ช่วยการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เพื่อลดอาการสั่นอย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาวิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยบางกลุ่มเท่านั้น และต้องได้รับการดูแลจากทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและศัลยกรรมประสาทอย่างใกล้ชิด

5 เทคนิคดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีอาการมือสั่นทำตามได้จริงทุกวัน

นอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว การปรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตก็เป็นอีกหนึ่งในแนวทางที่จะช่วยบรรเทาอาการมือสั่น เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องมีเวลาเยอะ ก็เริ่มทำได้ง่าย ๆ ทุกวัน ได้แก่ 

  • ผ่อนคลายจากความเครียด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม และเครื่องดื่มชูกำลัง รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการสั่นได้
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปรับปรุงการทรงตัว และลดความเครียดได้

เช็กลิสต์ 4 อาหารแก้อาการมือสั่น ลดอาการได้จริงด้วยวิธีธรรมชาติ

รวมเช็กลิสต์ 4 กลุ่มอาหารลดอาการมือสั่นแบบธรรมชาติ แค่เริ่มจากการปรับอาหารทีละนิด ก็ช่วยลดอาการสั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยบำรุงระบบประสาท แถมลดอาการมือสั่นได้จริง

รวมเช็กลิสต์ 4 กลุ่มอาหารลดอาการมือสั่นแบบธรรมชาติ แค่เริ่มจากการปรับอาหารทีละนิด ก็ช่วยลดอาการสั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยบำรุงระบบประสาท แถมลดอาการมือสั่นได้จริง

กลุ่มอาหารที่มีวิตามิน B1/B6 และ B12 

ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดอาการชาตึง อาการสั่นได้ เช่น

  • ถั่วเปลือกแข็ง หรือธัญพืชไม่ขัดสี
  • เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน 
  • ไข่
  • นม
  • ผักใบเขียว

กลุ่มอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

สารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ประสาท ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติและกระตุ้นให้เกิดการสั่นมากยิ่งขึ้น เมื่อร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอ จะช่วยลดการอักเสบในสมอง และปรับสมดุลการทำงานของเซลล์ประสาท ช่วยลดความรุนแรงของอาการมือสั่นได้ 

  • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
  • ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า บร็อกโคลี
  • ธัญพืชและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์ วอลนัต เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน เมล็ดเจีย
  • แครอท ฟักทอง 
  • ชาเขียว 

กลุ่มอาหารที่มีโอเมก้า-3 (Omega 3)

โอเมก้า-3 (Omega-3) เป็นไขมันดีที่ช่วยบรรเทาอาการมือสั่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยลดการอักเสบของเส้นประสาท ปรับสมดุลของสารสื่อประสาท เช่น โดพามีน และช่วยลดฮอร์โมนความเครียด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการสั่น โดยอาหารที่พบโอเมก้า-3 ได้แก่ 

  • ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัต ถั่วพีแคน หรือเฮเซลนัท
  • เมล็ดเจีย
  • ถั่วเหลือง รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากถั่วเหลือง 
  • ไข่ 
  • นมวัว หรือนมแกะ
  • ปลาทะเล เช่น แซลมอน ซาร์ดีน ทูน่า ปลาทู

กลุ่มผลไม้ที่มีโพแทสเซียม

โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุที่ช่วยควบคุมการหด–คลายของกล้ามเนื้อ เมื่อร่างกายได้รับโพแทสเซียมเพียงพอ จะทำให้อาการมือสั่นลดลง โดยผลไม้ที่มีโพแทสเซียมหลัก ๆ ได้แก่ 

  • กล้วย 
  • แก้วมังกร 
  • ลูกเกด ลูกพรุน

กลุ่มอาหารที่ช่วยลดความเครียด

เพราะความเครียดเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้ระบบประสาทตื่นตัวเกินไป ส่งผลให้กล้ามเนื้อสั่นหรือเกร็งง่ายกว่าปกติ ซึ่งจะมีกลุ่มอาหารบางอย่างที่จะช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจและระบบประสาทคงที่ ช่วยลดอาการมือสั่น เกิดจากความกังวลหรือความตื่นเต้นจึงลดลงได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยกลุ่มอาหารเหล่านี้ ได้แก่

  • แซลมอน
  • ไก่
  • ไข่ 
  • ผักใบเขียวและผลไม้
  • ดาร์กช็อกโกแลต 
  • โยเกิร์ต 
  • ถั่วและธัญพืช

สรุป อาการมือสั่น เกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความเครียด คาเฟอีน พักผ่อนไม่เพียงพอ ไปจนถึงโรคพาร์กินสัน โรคทางระบบประสาท ฮอร์โมนผิดปกติ หรือขาดวิตามินบางชนิด ทำให้อาการสั่นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอาการสั่นที่ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ควบคุมมือไม่ได้ หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย ควรรีบตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด พร้อมดูแลตัวเองเรื่องอาหาร การพักผ่อน และลดความเครียดควบคู่กัน

และสำหรับผู้ป่วยหรือครอบครัวที่กำลังมองหาทีมกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทโดยตรง PNKG Recovery & Elder Care พร้อมให้บริการ พร้อมประเมินอาการสั่นเฉพาะบุคคล ออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูให้เหมาะกับสาเหตุ พร้อมเทคนิคจากญี่ปุ่นที่ช่วยเพิ่มการควบคุมกล้ามเนื้อและลดอาการสั่นได้อย่างยั่งยืนให้ผู้ป่วยกลับมาทำกิจวัตรได้มั่นใจอีกครั้ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

  • ศูนย์ PNKG Recovery and Elder Care ชั้น 2 โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น. จันทร์ – เสาร์ (ปิดบริการวันอาทิตย์)
  • โทร : 080-910-2124
  • Line : PNKG
  • Facebook : PNKG Recovery and Elder Care

คำถามที่พบบ่อย

วิธีแก้อาการมือสั่นทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การดูแลตัวเองเบื้องต้น เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ลดคาเฟอีน ดื่มน้ำมากขึ้น รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเลือกอาหารที่ช่วยบำรุงระบบประสาทอย่างวิตามิน B โอเมก้า-3 โพแทสเซียม หรือสารต้านอนุมูลอิสระ หากมือสั่น เกิดจากความเครียด ควรผ่อนคลายร่างกายด้วยการหายใจลึก ๆ ดื่มชาอุ่น ๆ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยลดคอร์ติซอล ส่วนอาการสั่นที่เกิดซ้ำ ๆ ควบคุมมือไม่ได้ หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น อ่อนแรง พูดไม่ชัด เดินเซ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือด ประเมินระบบประสาท หรือทำ MRI/CT เพื่อค้นหาสาเหตุ เช่น พาร์กินสัน ไทรอยด์เป็นพิษ หรือภาวะน้ำตาลตก ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดหรือกิจกรรมบำบัดที่ช่วยเพิ่มการควบคุมกล้ามเนื้อและลดการสั่นได้อย่างเหมาะสม
อาการมือสั่นข้างเดียวส่วนใหญ่จะเป็นสัญญาณความผิดปกติของระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อเฉพาะด้านมากกว่าอาการจากความเครียดทั่วไป โดยสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ เส้นประสาทถูกกดทับ เช่น โรคหมอนรองกระดูกกดทับคอทำให้แขน–มือข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือสั่น อาการสั่นจากพาร์กินสันระยะเริ่มต้นที่มักเริ่มสั่นข้างเดียวก่อน ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออักเสบของเส้นประสาทส่วนปลาย รวมถึงผลข้างเคียงจากยา การบาดเจ็บ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอในบางบริเวณ หากอาการเกิดขึ้นเฉียบพลัน มีอ่อนแรงร่วม หรือไม่เคยเป็นมาก่อน แนะนำพบแพทย์เพื่อตรวจระบบประสาทโดยละเอียดให้ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อาการมือสั่นในบางครั้งอาจเกิดจากการขาดวิตามินหรือแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะวิตามินบีรวม (B1, B6, B12) ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของเส้นประสาท นอกจากนี้ การขาดแมกนีเซียม อาจทำให้กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง และสั่นง่ายขึ้น รวมถึงการขาดวิตามิน D และ แคลเซียม ก็อาจทำให้การควบคุมกล้ามเนื้อผิดปกติได้เช่นกัน
อาการมือสั่นเวลาจับของอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากความเครียด พักผ่อนไมเพียงพอ หรือดื่มคาเฟอีนมากเกินไป ซึ่งจะไปกระตุ้นระบบประสาทให้มือสั่นได้ง่าย นอกจากนี้ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ การขาดวิตามินบี แมกนีเซียม หรือโพแทสเซียม ก็ทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติจนมือสั่นเวลาจับของได้เช่นกัน ในบางรายอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยา หรือมีปัญหาไทรอยด์ทำงานเกินที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและมือสั่น และที่สำคัญยังอาจเป็นสัญญาณของโรคทางระบบประสาท เช่น Essential Tremor และพาร์กินสัน
อาการนิ้วมือสั่น สามารถเกิดจากความเครียด พักผ่อนไม่พอ หรือได้รับคาเฟอีนมากเกินไป ซึ่งทำให้ระบบประสาทโดนกระตุ้นจนเกิดการสั่นได้ง่าย อีกสาเหตุ คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้ร่างกายอ่อนแรง ใจสั่น และนิ้วสั่นร่วมด้วย รวมถึงการขาดวิตามินบี แมกนีเซียม หรือโพแทสเซียม ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ นิ้วสั่นอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยา ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน หรือภาวะ Essential Tremor ที่ทำให้สั่นเวลาขยับนิ้ว และในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน หากนิ้วมือสั่นต่อเนื่องหรือมากขึ้นควรพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจน

ส่งอาการเบื้องต้นให้เราช่วยประเมิน

ปรึกษากับทีมแพทย์และนักฟื้นฟูของเรา เพื่อให้คุณวางแผนได้อย่างมั่นใจ และตรงกับอาการมากที่สุด