ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคไร้ทางรักษาที่ไม่มีใครอยากเจอ

ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคไร้ทางรักษาที่ไม่มีใครอยากเจอ
Table of Contents

ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) คือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคร้ายที่โลกเริ่มรู้จักมากขึ้นหลังสตีเฟน ฮอว์กิง นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับโรคนี้นานหลายสิบปี โรคนี้ไม่ได้ทำร้ายร่างกายแบบทันที แต่ค่อย ๆ พรากความสามารถในการใช้ชีวิตไปทีละอย่าง ตั้งแต่อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดไม่ชัด มีภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia) ไปจนถึงภาวะหายใจลำบาก ทำความรู้จัก  ALS โรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเจอครบทุกมิติในบทความนี้ ALS คือโรคอะไร อาการเริ่มต้นเป็นแบบไหน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง สาเหตุเกิดจากอะไร และสามารถรักษาให้หายได้ไหม สรุปสั้น ๆ เข้าใจง่ายใน 5 นาที

ALS คือ โรคอะไร ทำไมถึงเป็นโรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเจอ?

ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ย่อมาจาก Amyotrophic Lateral Sclerosis คือ โรคที่เซลล์ประสาทสั่งการการเคลื่อนไหว (Motor Neurons) ค่อย ๆ เสื่อมสภาพและตาย เมื่อเซลล์ประสาทไม่สามารถทำงานได้ กล้ามเนื้อจะค่อย ๆ อ่อนแรง และขยับไม่ได้ในที่สุด

ทำไม ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงถึงน่ากลัว?  

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ ALS เป็นโรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเจอ เพราะว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS เป็นโรคที่ค่อย ๆ พรากความสามารถในการใช้ชีวิตไปทีละอย่างแบบไม่สามารถย้อนกลับได้ เมื่อเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อมลง กล้ามเนื้อทั้งร่างกายจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ เริ่มจากเดินลำบาก เริ่มหยิบสิ่งของไม่ได้ พูดไม่ชัด ภาวะกลืนลำบาก ไปจนถึงกล้ามเนื้อหายใจหยุดทำงาน ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยยังมีสติ รับรู้ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ไม่สามารถบังคับร่างกายได้เหมือนเดิม จนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยตรง 

ปัจจุบันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่าง ALS เป็นโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ทำได้แค่ชะลอรอยโรคให้ทรุดช้าลงและประคับประคอง แต่ถ้าผู้ป่วยโรค ALS ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ ผู้ป่วยก็สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และใช้เวลาร่วมกับคนที่รักได้อย่างปลอดภัยและมีความสุขได้

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีกี่ชนิด?

โดยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่พบบ่อยสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ALS, MG และ SMA

อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงในปัจจุบันไม่ได้มีแค่ ALS อย่างเดียว โดยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่พบบ่อยสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS), Myasthenia Gravis (MG) และ Spinal Muscular Atrophy (SMA) โดยแต่ละประเภทจะมีระดับความรุนแรง และสาเหตุที่แตกต่างกัน​ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 

ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

ALS หรือ Amyotrophic Lateral Sclerosis คือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ทำให้เซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวเสื่อมลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ควบคุมร่างกายได้ลดลงเรื่อย ๆ โดยจะเริ่มจากร่างกายซีกใดซีกหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลุกลามไปอีกซีกรวมถึงกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาลิ้นแข็ง พูดไม่ขัด มีปัญหาการกลืนอาหาร ไปจนถึงการหายใจ

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงประเภท Myasthenia Gravis (MG)

Myasthenia Gravis (MG) คือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว มองเห็นภาพซ้อน หรือไม่สามารถโฟกัสภาพได้ มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เช่น พูดไม่ชัด เสียงเปลี่ยน รวมถึงภาวะกลืนลำบาก หรือมีอาการสำลักบ่อย โดยอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงประเภทนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใช้งานกล้ามเนื้อมาก ๆ และจะดีขึ้นหลังพักการใช้งาน 

ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงประเภท Spinal Muscular Atrophy (SMA)

ส่วน Spinal Muscular Atrophy (SMA) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เซลล์ประสาทสั่งการกล้ามเนื้อเสื่อมลง ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและลีบลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว การกลืน และการหายใจ ผู้ป่วยจะเริ่มอ่อนแรง เคลื่อนไหวได้ลำบาก หรือมีอาการชาโดยไม่ทราบสาเหตุ ในบางรายอาจมีภาวะกลืนลำบาก และมีปัญหาด้านการหายใจร่วมด้วย 

แล้ว ALS ต่างจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดอื่น ๆ อย่างไร?

ALS เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ประสาทสั่งการ (Motor Neuron) เสื่อมลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงทั่วร่างกาย โดยรอยโรคดำเนินแบบ Progressive อาการของผู้ป่วยจะแย่ลงต่อเนื่อง ซึ่งโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอื่น ๆ อย่าง SMA และ MG สามารถควบคุมหรือชะลออาการได้มากกว่า ในขณะที่ ALS รอยโรคดำเนินค่อนข้างเร็วกว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดอื่น ๆ ทำให้ผู้ป่วยค่อย ๆ สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว การสื่อสาร การกลืนอาหาร และการหายใจในที่สุด

ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง สาเหตุเกิดจากอะไร? 

โรค ALS สาเหตุหลัก ๆ ยังไม่ทราบแน่ชัดในปัจจุบัน แต่มีการสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น 

  • ความผิดปกติของเซลล์ประสาทสั่งการ (Motor Neuron Degeneration) : เมื่อเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้การควบคุมกล้ามเนื้อในร่างกายบกพร่อง 
  • พันธุกรรม (Genetic) : ประมาณ 5–10% ของผู้ป่วย ALS มีประวัติในครอบครัว เรียกว่า Familial ALS โดยพบการกลายพันธุ์ของยีนหลายชนิด ทำให้เซลล์ประสาทสั่งการเสื่อมลง
  • ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ (Autoimmune Disorder) : เมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติจะไปกระตุ้นกระบวนการอักเสบในร่างกาย ส่งผลกระทบต่อเซลล์ประสาทโดยตรง ทำให้เซลล์ประสาทเสื่อมเร็วขึ้น
  • สิ่งแวดล้อม (Environment) : เช่น การสัมผัสกับโลหะหนัก ยาฆ่าแมลง สารเคมี หรือสารอันตรายบางอย่าง ทำให้เซลล์ประสาททำงานผิดปกติได้

7 สัญญาณโรค ALS อาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย

7 สัญญาณ ALS โรคที่พัฒนาการของผู้ป่วยดรอปลงอย่างต่อเนื่องตามระดับความเสื่อมของเซลล์ประสาท

อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าโรค ALS คือโรคที่มีพัฒนาการ โดยอาการของรอยโรคจะค่อย ๆ ดรอปลงเรื่อย ๆ ตามระดับความเสื่อมของเซลล์ประสาท ทำให้ผู้ป่วยเริ่มเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกายทีละนิด ๆ จนกระทบต่อระบบหายใจในที่สุด โดยรายละเอียด ดังต่อไปนี้

  • กล้ามเนื้อแขน–ขาอ่อนแรง เช่น ติดกระดุมเสื้อไม่ได้ จับของได้ไม่แน่น กล้ามเนื้อกระตุก สะดุดบ่อย หรือเสียการทรงตัว
  • รู้สึกเหนื่อยง่าย และต้องใช้แรงมากกว่าปกติเมื่อต้องเคลื่อนไหวหรือทำกิจวัตรประจำวัน
  • กล้ามเนื้อแขนขาเริ่มลีบเล็กลงผิดปกติ
  • พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง เสียงพูดผิดปกติ 
  • มองไม่ชัด เห็นภาพซ้อน หรือหนังตก 
  • เริ่มมีปัญหาการกลืนอาหารหรือเครื่องดื่ม สำลักง่ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใช้ควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตาอ่อนแรง
  • หายใจลำบาก โดยเฉพาะเวลานอนราบ หรือหายใจได้ไม่เต็มที่

ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง อันตรายแค่ไหน? รู้ทันภาวะแทรกซ้อนสำคัญที่ต้องระวัง

โรค ALS ถือเป็นในกลุ่มอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่รุนแรงเป็นอันดับต้น ๆ เพราะการเสื่อมของเซลล์ประสาทสั่งการทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว การสื่อสาร การกลืน และโรค ALS ระยะสุดท้ายจะไปกระทบต่อระบบหายใจ โดยภาวะแทรกซ้อนที่สามารถพบได้ในโรคนี้ ได้แก่

  • ภาวะหายใจล้มเหลว 
  • เสี่ยงต่อการสำลัก นำไปสู่ภาวะปอดติดเชื้อ
  • ติดเชื้อทางเดินหายใจซ้ำ ๆ
  • ภาวะขาดสารอาหาร/น้ำหนักลด จากภาวะกลืนลำบาก
  • ปัญหาการสื่อสารที่รุนแรงขึ้นตามระยะของโรค
  • กล้ามเนื้อเกร็ง ปวด ข้อติด
  • แผลกดทับ

การวินิจฉัย ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

การวินิจฉัย ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไก้แก่ EMG, NCS, MRI Scan การตรวจเลือด และการเจาะน้ำไขสันหลัง

สำหรับแนวทางการวินิจฉัยโรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) คือ เริ่มตั้งแต่การซักประวัติและความผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อลีบ หรือกระตุก และตรวจร่างกายเพื่อประเมินกำลังและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพื่อตรวจการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เนื่องจาก กลุ่มอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหลาย ๆ โรคมีอาการใกล้เคียงกัน จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยวิธีที่นิยมใช้การวินิจฉัย ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ได้แก่

การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) 

เป็นวิธีการวินิจฉัยเพื่อประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท โดยการใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปในกล้ามเนื้อ ประเมินสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นขณะกล้ามเนื้อหดตัวและพัก เพื่อเช็กว่าอาการอ่อนแรงเกิดจากตัวกล้ามเนื้อ หรือเกิดจากเส้นประสาทสั่งการที่ควบคุมกล้ามเนื้อผิดปกติ ถ้าผู้ป่วยเป็นโรค ALS จะมีสัญญาณไฟฟ้าผิดปกติที่บ่งบอกถึงการเสื่อมของเซลล์ประสาทสั่งการที่ควบคุมกล้ามเนื้อ

การตรวจชักนำประสาท (NCS)

วิธีการตรวจชักนำประสาท (NCS) เป็นวิธีการตรวจการทำงานของเส้นประสาท ด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านเส้นประสาท เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของเส้นประสาท

การตรวจ MRI SCAN

การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging) เป็นการถ่ายภาพโครงสร้างสมองและไขสันหลังอย่างละเอียด เพื่อช่วยแยกโรค ALS ออกจากโรคอื่นที่มีอาการคล้าย ๆ กัน เช่น เนื้องอกในสมอง ไขสันหลังอักเสบ หรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS) 

การตรวจเลือด 

ส่วนวิธีการวินิจฉัยด้วยการตรวจเลือด เพื่อตรวจหาค่าเอนไซม์ในกล้ามเนื้อ เช่น Creatine, Kinase ค่า Antibody และระดับฮอร์โมน และแยกความผิดปกติอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายกับโรค ALS เช่น ภาวะไทรอยด์ผิดปกติ การติดเชื้อ โรคภูมิคุ้มกัน หรือภาวะขาดวิตามินบางชนิด

การเจาะน้ำไขสันหลัง

และวิธีวินิจฉัยสุดท้ายอย่างการเจาะน้ำไขสันหลัง เพื่อช่วยในการแยกโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลางและสมอง

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง รักษาหายไหม?

ปัจจุบัน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่าง ALS ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจาก โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อมลงเรื่อย ๆ และไม่สามารถฟื้นตัวกลับได้เหมือนอวัยวะอื่น ทำให้รอยโรคดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนกระทบต่อการเคลื่อนไหว การสื่อสาร การกลืน และระบบหายใจในที่สุด ถึง ALS จะเป็นกลุ่มอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ปัจจุบันมีรูปแบบการรักษาที่ช่วยชะลอให้รอยโรคดำเนินช้าลง ลดอาการ และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น

  • การใช้ยา : เช่น Riluzole (ชะลอการเสื่อมของเซลล์ประสาท) หรือ Edaravone (ลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระ)
  • กายภาพบำบัด : ช่วยชะลอการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ รักษาอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ และที่สำคัญยังช่วยลดอาการเกร็งหรือกล้ามเนื้อกระตุก ทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวทรงตัวและเคลื่อนไหวได้ดีมากยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันภาวะร่างกายถดถอย (Disuse syndrome) ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะติดเตียง (Bedridden)
  • กิจกรรมบำบัด : ฝึกกลืนอาหาร ลดความเสี่ยงในการสำลักและฝึกให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองได้ เช่น การแต่งตัว การรับประทานอาหาร และการอาบน้ำ

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอยู่ได้กี่ปี?

โดยทั่วไป ผู้ป่วย ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงส่วนใหญ่จะมีอายุขัยประมาณ 2-5 ปี หลังจากเริ่มมีอาการ แต่ผู้ป่วยหลาย ๆ เคสก็สามารถมีชีวิตได้นานหลาย 10 ปี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความเร็วในการดำเนินโรค รวมถึงการดูแลอย่างเหมาะสม

ALS คือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงรุนแรงที่เกิดจากเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อมลง ทำให้ผู้ป่วยค่อย ๆ สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว การพูด การกลืน และการหายใจทีละน้อยโดย ถึงปัจจุบันโรคนี้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่การรักษาที่เหมาะสมมีส่วนช่วยชะลออาการและยืดคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการทำกายภาพบำบัด และกิจกรรมบำบัดที่จะช่วยลดการอ่อนแรง เกร็ง ปวด และป้องกันภาวะติดเตียงได้

และสำหรับผู้ที่กำลังมองศูนย์กายภาพบำบัด Japan Standard ด้วยโปรแกรมกายภาพบำบัดแบบรายบุคคล สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

  • ศูนย์ PNKG Recovery and Elder Care ชั้น 2 โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น. จันทร์ – เสาร์ (ปิดบริการวันอาทิตย์)
  • โทร : 080-910-2124
  • Line : PNKG
  • Facebook : PNKG Recovery and Elder Care


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

ALS ย่อมาจาก Amyotrophic Lateral Sclerosis คือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทสั่งการ

อันตราย เพราะเป็นโรคที่เซลล์ประสาทเสื่อมลงเรื่อย ๆ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจนกระทบการเคลื่อนไหว การกลืน และการหายใจในที่สุด

ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่เป็นการรักษาเพื่อชะลออาการ ลดการเสื่อม และประคับประคองคุณภาพชีวิตได้

หลัก ๆ ผู้ป่วยจะจะหายใจลำบากอย่างรุนแรง ไม่สามารถกลืนอาหารได้ นอนติดเตียง หรือมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น แผลกดทับ ปอดติดเชื้อ เป็นต้น

ผู้จะเริ่มมีอาการแขนขาอ่อนแรง สะดุดง่าย หรือทำของหล่นบ่อย มีอาการกล้ามเนื้อกระตุก พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง มีอาการสำลักบ่อย และเหนื่อยง่ายกว่าเดิม

ส่งอาการเบื้องต้นให้เราช่วยประเมิน

ปรึกษากับทีมแพทย์และนักฟื้นฟูของเรา เพื่อให้คุณวางแผนได้อย่างมั่นใจ และตรงกับอาการมากที่สุด