โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันหรือ CVA คือโรคที่ทำให้คนเสียชีวิตและพิการอันดับต้น ๆ ในไทย เกิดขึ้นอย่างฉับพลันแทบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แค่ไม่กี่นาทีที่สมองขาดเลือดหรือมีเลือดออกในสมอง จนทำให้ผู้ป่วยตกอยู่ในภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้ บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จัก CVA ให้ลึกมากยิ่งขึ้น Cerebrovascular Accident คือโรคอะไร เกิดจากอะไร และสัญญาณเงียบแบบไหนที่คุณอาจไม่เคยรู้ พร้อมไขข้อสงสัยว่า CVA ต่างจาก Old CVA อย่างไร รู้ทันก่อนสายเกินแก้
โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน หรือ CVA คือโรคอะไร?
CVA คือโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน เกิดจากการที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ตามปกติอย่างฉับพลัน ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร ส่งผลให้เซลล์สมองเสียหายภายในไม่กี่นาที ซึ่งอาจเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke) หรือหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) และอุบัติเหตุ
โดย CVA คือโรคที่เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาทันที เพราะทุกนาทีที่เสียไป = สมองยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น และอาจนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
แล้ว Old CVA คือโรคอะไร แตกต่างกับ CVA อย่างไร?
Old CVA (Old Cerebrovascular Accident) คือ ภาวะหลอดเลือดสมองที่เคยเกิดในอดีต ไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน หรือหลอดเลือดสมองแตก และผู้ป่วยรอดชีวิต แต่หลงเหลือร่องรอยความเสียหายของสมองอยู่
โดยความหมายในเชิงการแพทย์ Old CVA ในเวชระเบียน หมายถึง ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติโรคหลอดเลือดสมอง และตอนนี้เข้าสู่ระยะเรื้อรังแล้ว จะพบได้จากการซักประวัติ / ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) / MRI ซึ่งจะแสดงร่องรอยสมองที่เคยขาดเลือดหรือมีแผลจากเลือดออก
ลักษณะสำคัญของ Old CVA
ไม่มีอาการเฉียบพลันเหมือน Stroke แต่จะมีความผิดปกติทางร่างกายจากรอยโรคอยู่ เช่น อ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด มีปัญหาเรื่องการทรงตัว มีปัญหาเรื่องความจำ เป็นต้น โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสเกิด Stroke ซ้ำได้สูงกว่าคนทั่วไป
สรุปความแตกต่างระหว่าง Old CVA และ CVA
- CVA = ภาวะโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดขึ้นทันที (เฉียบพลัน)
- Old CVA = ร่องรอยหรือผลหลงเหลือจากการเกิด Stroke ในอดีต
3 คำยอดฮิต CVA กับ Stroke และ TIA ต่างกันอย่างไร?

เวลามีคนป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง หลายคนอาจจะได้ยิน 3 คำนี้บ่อยมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น CVA (Cerebrovascular Accident), Stroke และ TIA จนหลายคนคิดว่ามีความหมายเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้วทั้ง 3 คำนี้ใช้แตกต่างกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
CVA (Cerebrovascular Accident)
เป็นชื่อโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันทางการแพทย์ คือ ภาวะที่สมองขาดเลือดหรือเลือดออกในสมอง ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
สโตรก (Stroke)
ส่วน Stroke เป็นคำที่คนทั่วไปใช้เรียกโรคหลอดเลือดสมอง โดยสามารถแบ่งได้ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองตีบ/ตัน (Ischemic Stroke) และโรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke ในหลายประเทศ Stroke และ CVA ใช้แทนกันได้ แต่ Stroke นิยมใช้สื่อสารกับคนทั่วไปมากกว่า
TIA (Transient Ischemic Attack) หรือภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว
TIA (Transient Ischemic Attack) เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดสมองชั่วคราว ทำให้มีอาการคล้าย Stroke เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง ซึ่งส่วนใหญ่ ภาวะนี้จะหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง และไม่ทิ้งความพิการถาวร แต่ TIA คือ สัญญาณเตือนว่า คุณมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด Stroke ในอนาคต
สรุปสั้น ๆ
- CVA = ชื่อเรียกทางการแพทย์ของโรคหลอดเลือดสมอง
- Stroke = คำทั่วไปที่ใช้แทน CVA ได้
- TIA = สมองขาดเลือดชั่วคราว อาการเหมือน Stroke แต่หายเองได้ใน 24 ชั่วโมง แต่เสี่ยงสูงที่จะเกิด Stroke จริง
7 ตัวการร้ายกระตุ้น CVA ที่หลายคนไม่เคยรู้

เปิด 7 ตัวการหลักกระตุ้นให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (CVA) ค่อย ๆ ทำลายหลอดเลือดทีละนิด รู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว ได้แก่
เบาหวาน (Diabetes)
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงนาน ๆ จะทำให้ผนังหลอดเลือดค่อย ๆ แข็งและหนาขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดในร่างกาย เพิ่มโอกาสการเกิดหลอดเลือดสมองตีบหลายเท่าตัว
ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
มีเบาหวานแล้ว แน่นอนโรคความดันโลหิตสูงก็ขาดไม่ได้เช่นกัน เมื่อหลอดเลือดเจอแรงดันเลือดสูงต่อเนื่องกระแทกเรื่อย ๆ จะทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอ เปราะบาง พร้อมจะแตกหรือปริซึมได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia)
Enjoy eating เบาหวาน ความดันอย่างเดียวไม่พอ ไขมันในเลือดสูงต้องควบคู่มาด้วย เมื่อร่างกายมีระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง ก็จะไปสะสมและเกาะตามผนังหลอดเลือด จนกลายเป็นพลัค (Plaque) ต่อเนื่อง ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก นำไปสู่หลอดเลือดตีบและอุดตันในที่สุด
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial Fibrillation)
Atrial Fibrillation (AF) หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดหนึ่ง เกิดจากการที่หัวใจห้องบนเต้นไม่สม่ำเสมอและเร็วกว่าปกติ ทำให้การสูบฉีดเลือดไม่มีประสิทธิภาพ เลือดบางส่วนคั่งอยู่ในหัวใจและจับตัวเป็นลิ่มเลือดได้ง่าย เมื่อก้อนลิ่มเลือดหลุดออกมาและไหลตามกระแสเลือด อาจไปอุดตันอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (CVA) ได้ในทันที
สูบบุหรี่ (Smoking)
นอกจากแก๊งโรคยอดฮิตแล้ว ตัวแปรตัวท็อปที่ทำให้เกิด CVA อย่างพฤติกรรมการสูบบุหรี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคด้วยเช่นเดียวกัน เพราะสารพิษในบุหรี่จะทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดข้นและจับตัวเป็นลิ่ม เพิ่มความเสี่ยงทั้งหลอดเลือดตีบและหลอดเลือดแตกด้วยนั่นเอง
ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ (Alcohol)
การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพิ่มความดันโลหิตและกระตุ้นการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงสมองด้วย
ไม่ค่อยออกกำลังกายและมีน้ำหนักเกิน
ใช้ชีวิตติดโต๊ะ นั่งนาน ไม่ค่อยขยับตัว และไม่ออกกำลังกาย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (CVA) เพราะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อย ทำให้น้ำหนักเกินและเกิดภาวะอ้วนได้ง่าย ซึ่งสัมพันธ์กับความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวานโดยตรง
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น อายุที่มากขึ้น พันธุกรรมและประวัติครอบครัว รวมถึงเพศ (ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าในบางช่วงวัย) ด้วย
6 สัญญาณเงียบของ CVA เมื่อร่างกายเริ่มส่งสัญญาณ SOS

อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (CVA) เป็นโรคที่มักเกิดแบบเฉียบพลัน ไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ไม่ได้แปลว่าร่างกายไม่ส่งสัญญาณเตือนก่อน เพราะจริง ๆ แล้ว ร่างกายอาจส่งสัญญาณอยู่ แต่เราอาจมองข้ามโดยไม่รู้ตัว โดยสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ตามหลัก BE FAST ได้แก่
- B (ฺBalance) : เดินเซ ทรงตัวไม่อยู่
- E (Eyes) : ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นซีกใดซีกหนึ่ง
- F (Face) : หน้าเบี้ยว มุมปากตก ยิ้มแล้วไม่เท่ากัน
- A (Arm) : แขนขาอ่อนแรง ชา หรือยกไม่ขึ้น
- S (Speech) : พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง พูดติดขัด หรือสื่อสารไม่ได้
- T (Time) : เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที
หากพบอาการเหล่านี้ ถึงจะมีแค่ข้อเดียว ควรรีบไปพบแพทย์ด่วน เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (CVA) ที่ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
6 อันตรายแฝง! ภาวะแทรกซ้อนที่มาพร้อมกับ CVA
นอกจากอาการหลัก ๆ ของโรคแล้ว CVA ในผู้ป่วยยังอาจมีภาวะแทรกซ้อนแฝงตามมาด้วย ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็น
- อัมพฤกษ์–อัมพาต : สูญเสียการเคลื่อนไหวบางส่วนหรือทั้งซีก ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ปัญหาการพูดและการสื่อสาร (Aphasia) : อาจพูดไม่ชัด พูดไม่ได้ หรือไม่เข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด
- กลืนลำบาก (Dysphagia) : เสี่ยงสำลักอาหารและน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะปอดติดเชื้อ (Pneumonia) ตามมมา
- ปัญหาความจำและการรับรู้ : บางรายอาจมีปัญหาด้านความจำ หรือมีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ร่วมด้วย
- ภาวะซึมเศร้าและความเครียด : เมื่อผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการช่วยเหลือตัวเอง ทำให้ผู้ป่วยหลายรายรู้สึกหมดกำลังใจในการใช้ชีวิต เริ่มการสะสมความเครียด ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า
- ภาวะติดเตียง (Bedridden) : หากไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เอง อาจทำให้เกิดแผลกดทับ ปอดแฟบ หรือการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (CVA)
สำหรับใครที่กำลังกังวลหรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ จริง ๆ แล้วสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ แค่เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ ของโรคนี้จะเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน แค่ปรับพฤติกรรมก็ช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้แล้ว
- รับประทานยาโรคประจำตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยาเอง เช่น ยาเบาหวาน ความดัน หรือไขมัน
- ควบคุมความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดให้อยู่เกณฑ์ปกติ
- เลี่ยงอาหารไขมันสูงและเค็มจัด
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี
การป้องกัน CVA เริ่มได้จากตัวเราเอง เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ก็ช่วยลดความเสี่ยงอัมพาตและโรคร้ายได้แล้ว
Cerebrovascular Disease มีอะไรบ้าง?
Cerebrovascular disease (โรคหลอดเลือดสมอง) ไม่ได้มีแค่ CVA หรือ Stroke เท่านั้น แต่เป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้สมองขาดเลือด เลือดออก หรือเกิดความเสียหายอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น
- โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) : เกิดจากลิ่มเลือดอุดตันหรือไขมันเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
- โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) : เกิดจากเส้นเลือดในสมองแตกหรือฉีกขาด เลือดที่ออกมากดทับเนื้อสมองจนทำให้เสียหาย
- ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) : คล้ายโรคหลอดเลือดสมองตีบ แต่เป็นชั่วคราว ส่วนใหญ่อาการจะหายภายใน 24 ชั่วโมง
- หลอดเลือดสมองโป่งพอง (Cerebral Aneurysm) : ผนังหลอดเลือดสมองบางและโป่งออกมา ถ้าแตกจะทำให้เกิดเลือดออกในสมองเฉียบพลัน (Subarachnoid Hemorrhage)
- ความผิดปกติของหลอดเลือดสมองแต่กำเนิด (Vascular Malformations) เช่น Arteriovenous Malformation (AVM) ทำให้หลอดเลือดผิดรูปและมีความเสี่ยงต่อการแตก
สรุปง่าย ๆ Cerebrovascular disease ครอบคลุมทุกโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง ทั้งแบบตีบ อุดตัน แตก โป่งพอง หรือผิดปกติแต่กำเนิด ซึ่งล้วนส่งผลต่อการทำงานของสมองและอาจนำไปสู่ อัมพาต อัมพฤกษ์ หรือเสียชีวิตได้
และสำหรับครอบครัวที่กำลังเผชิญกับ CVA และมีความสนใจในการฟื้นฟูความสามารถทางร่างกายผ่านเทคนิคการทำกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดในรูปแบบ Intensive Rehabilitation ด้วย Japan Standard ไคโก-โดะ ศาสตร์การฟื้นฟูแบบฉบับญี่ปุ่น สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
- ศูนย์ PNKG Recovery and Elder Care ชั้น 2 โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น. จันทร์ – เสาร์ (ปิดบริการวันอาทิตย์)
- Line : PNKG
- Tel : 080-910-2124
- Facebook : PNKG Recovery and Elder Care
คำถามที่พบบ่อย
CVA ย่อมาจาก Cerebrovascular Accident คือ โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ที่เกิดจากการอุดตันหรือแตกของเส้นเลือดสมอง ทำให้สมองขาดเลือดและเซลล์สมองถูกทำลาย
CVA กับ Stroke คือ โรคหลอดเลือดสมองเหมือนกัน แค่ใช้คนละคำศัพท์ แต่หมายถึงภาวะเดียวกัน

Content Writer มีประสบการณ์ด้านงานเขียนสุขภาพ การฟื้นฟูสมรรถภาพ และให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รวมถึงโรคอื่น ๆ ในแบบฉบับเข้าใจง่ายมากกว่า 5 ปี