ภาวะ SAH คืออะไร? โรคร้ายซ่อนเงียบ เสี่ยงเสียชีวิตในไม่กี่น.

ภาวะ SAH คืออะไร? โรคร้ายซ่อนเงียบ เสี่ยงเสียชีวิตในไม่กี่น.
Table of Contents

ภาวะ SAH (Subarachnoid Hemorrhage) หรือภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง แต่อันตรายกว่าที่คิด แค่วินาทีเดียว อาการอาจรุนแรงจนพรากชีวิตได้ทันที ซ่อนตัวเงียบอยู่ในสมอง แต่พร้อมเปลี่ยนชีวิตคุณให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทำความรู้จักว่า ภาวะ SAH คือโรคอะไร? โรคร้ายที่อาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด กับ 5 สัญญาณเล็ก ๆ ที่หลายคนชะล่าใจ รู้ทันตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจช่วยชีวิตได้

ภาวะ SAH คืออะไร? โรคร้ายซ่อนเงียบ เสี่ยงเสียชีวิตในพริบตา

ภาวะ SAH (Subarachnoid Hemorrhage) คือ ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง เกิดจากการมีเลือดรั่วไหลเข้าไปในช่องว่างระหว่างสมองกับเยื่อหุ้มสมองชั้นบาง ๆ ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างสมองกับเยื่อหุ้มสมองที่เต็มไปด้วยน้ำหล่อสมองไขสันหลัง เมื่อมีเลือดไหลในบริเวณนี้ จะทำให้เกิดแรงกดทับสมองอย่างเฉียบพลัน 

โดย SAH เป็นโรคส่วนใหญ่จะเกิดแบบเฉียบพลัน ไม่ทันตั้งตัว และสามารถพรากชีวิตผู้ป่วยได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งความน่ากลัวของภาวะ SAH คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้จักโรคนี้มาก่อน หรืออาจไม่ทันสังเกตสัญญาณเตือนเล็ก ๆ ที่ร่างกายส่งสัญญาณมาตลอด 

แล้ว SAH กับ Stroke แตกต่างกันอย่างไร?

Stroke (โรคหลอดเลือดสมอง) คือ ภาวะที่สมองขาดเลือดจากการตีบหรืออุดตัน หรือมีเลือดออกในสมอง ทำให้เซลล์สมองเสียหาย ส่วน SAH คือ หนึ่งในกลุ่มเส้นเลือดในสมองแตก แต่มีความเฉพาะเจาะจงกว่าตรงที่เลือดจะออกในช่องว่างใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง ไม่ได้ออกในเนื้อสมองโดยตรง

Stroke (โรคหลอดเลือดสมอง) คือ ภาวะที่สมองขาดเลือดจากการตีบหรืออุดตัน หรือมีเลือดออกในสมอง ทำให้เซลล์สมองเสียหาย โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 

  • เส้นเลือดในสมองตีบ (Ischemic Stroke) เป็นภาวะที่หลอดเลือดสมองอุดตันจากคราบพลัค (Plaque) ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้
  • เส้นเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) เมื่อเลือดออกในสมอง เลือดจะไปกดทับเนื้อสมอง ทำให้เซลล์ที่โดนกดทับได้รับความเสียหาย 

ส่วน SAH (Subarachnoid Hemorrhage) ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเส้นเลือดในสมองแตก แต่มีความเฉพาะเจาะจงกว่าตรงที่เลือดจะออกในช่องว่างใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง ไม่ได้ออกในเนื้อสมองโดยตรง

6 สัญญาณอาการเตือนภาวะ SAH ที่ควรระวัง

อาการของภาวะ SAH จุดที่สามารถสังเกตได้ชัดที่สุด ส่วนใหญ่จะอยู่ที่อาการปวดหัวรุนแรงและเกิดขึ้นทันที แทบจะเป็นอาการปวดหัวที่สุดในชีวิต โดย 6 สัญญาณเล็ก ๆ ที่คนรอบข้างหรือผู้ที่เริ่มอาการเริ่มต้นสามารถสังเกตได้ 

  • ปวดหัวรุนแรงแบบฉับพลัน
  • คลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย (สัญญาณระยะแรก ๆ ของภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง)
  • คอแข็งหรือปวดตึงบริเวณต้นคอ
  • ปวดตา ตาพร่ามัว หรือมองเห็นภาพซ้อน
  • ชัก
  • อ่อนแรงครึ่งซีก สับสน หรือหมดสติในไม่กี่นาที

หากคุณเริ่มมีอาการ หรือพบคนรอบข้างมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอาการปวดหัวอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะการรักษาอย่างรวดเร็ว ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต และความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้อย่างตรงจุด

เปิด 8 ต้นตอของภาวะ SAH ที่หลายคนคาดไม่ถึง

เลือดออกในสมองเป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่แค่กับผู้สูงอายุอย่างเดียว แถมบางครั้งต้นตอก็มาจากสิ่งที่เราไม่ทันสังเกต ไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน หรือความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ในร่างกายโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น

  • หลอดเลือดสมองโป่งพอง (Brain Aneurysm) ทำให้ผนังหลอดเลือดเปราะบาง เมื่อแรงดันของกระแสเลือดไหลผ่าน อาจทำให้หลอดเลือดโป่งพองและแตกในที่สุด
  • อุบัติเหตุกระทบศีรษะอย่างรุนแรง เช่น รถชน หกล้ม หรือการเล่นกีฬาที่ใช้แรงกระแทกสูง 
  • โรคหลอดเลือดไฟโบรมัสคูลาร์ ดิสเพลเชีย (Fibromuscular Dysplasia) ความผิดปกติของผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบ ขยายตัว หรือโป่งพอง ส่งผลให้หลอดเลือดเปราะและแตกง่ายกว่าเดิม
  • โรคหลอดเลือดสมองอุดตันโมยาโมยา (Moyamoya Disease) ทำให้หลอดเลือดสมองใหญ่ตีบหรือแคบลง ร่างกายจึงสร้างหลอดเลือดฝอยเล็ก ๆ มาชดเชย แต่หลอดเลือดใหม่เหล่านี้กลับมีผนังบางและเปราะง่าย 
  • AVM (Arteriovenous Malformation) ทำให้ผนังหลอดเลือดบางกว่าปกติและมีโอกาสแตกได้ง่าย
  • ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง แต่ที่ไม่ควบคุม เมื่อหลอดเลือดในสมองโดนแรงดันของความดันกระแทกต่อเนื่องเรื่อย ๆ จะทำให้หลอดเลือดเปราะบางและแตกง่าย 
  • พฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้สารเสพติดบางชนิด เช่น โคเคน มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงให้หลอดเลือดแตกได้มากกว่าคนทั่วไป
  • พันธุกรรมหรือมีประวัติสมาชิกในครอบครัวเคยเป็น SAH

ภาวะแทรกซ้อนของ SAH

ในผู้ป่วย SAH บางรายอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว เช่น โรคลมชัก เลือดออกซ้ำ ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ สูญเสียความสามารถด้านการรับรู้และความเข้าใจ  เป็นต้น

นอกจากภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองจะเกิดขึ้นแบบทันทีทันใดแล้ว ในผู้ป่วยบางรายอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวด้วย ไม่ว่าจะเป็น 

  • เลือดออกซ้ำ (Rebleeding) : เสี่ยงมากใน 24 ชั่วโมงแรกหากยังไม่ได้รับการรักษาต้นเหตุ ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า Subarachnoid Hemorrhage ครั้งแรก
  • มีปัญหาทางอารมณ์ ประสบภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
  • โรคลมชัก 
  • ภาวะสมองขาดเลือด หรือเกิดการหดเกร็งของหลอดเลือด
  • ภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง (Hydrocephalus)
  • สูญเสียความสามารถด้านการรับรู้และความเข้าใจ (Cognitive) : มีปัญหาด้านการคิดและตัดสินใจ 

วิธีการวินิจฉัยภาวะ SAH

SAH คือ ภาวะที่มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันและอันตรายถึงชีวิต การวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ เพราะบางครั้งอาการของภาวะนี้อาจคล้ายกับไมเกรน หรือปวดหัวธรรมดา ๆ ทำให้หลายคนมองข้ามไป หากตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้อย่างตรงจุด โดยวิธีวินิจฉัยภาวะ Subarachnoid Hemorrhage ที่แพทย์นิยมใช้ปัจจุบัน ได้แก่

  • CT Scan : ตรวจร่องรอยของเลือดที่ออกใต้เยื่อหุ้มสมองได้ชัดเจน โดยเฉพาะใน 24 ชั่วโมงแรก
  • การเจาะน้ำไขสันหลัง (Spinal Tab) : หากผล CT Scan ไม่พบความผิดปกติ แต่ยังสงสัยภาวะ SAH แพทย์จะเจาะเอาน้ำไขสันหลังมาตรวจหาสีเลือด (xanthochromia) ที่บ่งบอกว่ามีเลือดออกในช่องว่างใต้เยื่อหุ้มสมอง
  • MRI Scan : เพื่อดูรายละเอียดของสมองและหลอดเลือดชัดเจนมากขึ้น เหมาะสำหรับการยืนยันตำแหน่งและปริมาณเลือดออก รวมถึงหาสาเหตุ เช่น หลอดเลือดโป่งพอง

แนวทางการรักษาภาวะ SAH จากฉุกเฉินสู่การฟื้นตัว

ส่วนแนวทางการรักษาภาวะ SAH คือ การเน้นความเร็วและความแม่นยำในการรักษา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อีกครั้ง โดยแนวทางการรักษาจะครอบคลุมตั้งแต่ระยะฉุกเฉินไปจนถึงการฟื้นฟูในระยะยาว ได้แก่ 

การรักษาด้วยยา

  • ยาป้องกันหลอดเลือดหดเกร็ง (Vasospasm) เช่น Nimodipine
  • ยาบรรเทาอาการปวด เช่น Paracetamol ผสมกับ Codeine และ Morphine เป็นต้น
  • ยาต้านชัก (Anticonvulsants) เช่น Phenytoin
  • ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน

การผ่าตัด

  • การผ่าตัดหยุดเลือด (Surgical Clipping) : ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ เพื่อใส่คลิปโลหะหนีบตรงหลอดเลือดโป่งพอง เหมาะกับผู้ป่วยที่มีเลือดออกกว้างหรือซับซ้อน 
  • การผ่าตัดซ่อมแซมหลอดเลือด (Endovascular Treatment) : ใช้สายสวนสอดผ่านหลอดเลือดไปยังสมอง แล้วใส่ขดลวดเล็ก ๆ เพื่ออุดหลอดเลือดโป่งพอง ป้องกันการแตกซ้ำ 

การบำบัด (Therapy)

นอกจากการรักษาด้วยยาและการผ่าตัดแล้ว หลังจากผู้ป่วย Subarachnoid Hemorrhage มีอาการคงที่แล้ว ผู้ป่วยควรได้รับการทำกายภาพบำบัด และกิจกรรมบำบัด เพื่อช่วยฟื้นฟูความสามารถทางร่างกายและทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตให้กลับไปใกล้เคียงปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

การบำบัดทางกายภาพ (Physical Therapy)

ในระยะการฟื้นฟู (Recovery Phase) ผู้ป่วยควรได้รับการทำกายภาพบำบัดในรูปแบบ Intensive เข้มข้นทั้งรูปแบบการฝึกและระยะเวลาในการฝึก อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ขึ้นไป เนื่องจาก ช่วงนี้ผู้ป่วยอยู่ในช่วงเวลาทองแห่งการฟื้นฟู (Golden Period) ซึ่งเป็นช่วงที่สมองมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูมากที่สุด เพิ่มโอกาสในการกลับไปใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากยิ่งขึ้น

ในระยะการฟื้นฟู (Recovery Phase) ผู้ป่วยควรได้รับการทำกายภาพบำบัดในรูปแบบ Intensive เข้มข้นทั้งรูปแบบการฝึกและระยะเวลาในการฝึก อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ขึ้นไป เนื่องจาก ช่วงนี้ผู้ป่วยอยู่ในช่วงเวลาทองแห่งการฟื้นฟู (Golden Period) ซึ่งเป็นช่วงที่สมองมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูมากที่สุด เพิ่มโอกาสในการกลับไปใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากยิ่งขึ้น 

  • ช่วยฟื้นฟูการเคลื่อนไหว ลดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • ฝึกการทรงตัว การยืน และการเดินตามลำดับ 
  • ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ข้อต่อยึดติด ภาวะปอดแฟบ และแผลกดทับ
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะถดถอยทางร่างกาย ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะติดเตียง (Bedridden) ในอนาคต

กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy)

นอกจากปัญหาด้านการทรงตัวและการเคลื่อนไหวแล้ว ผู้ป่วย SAH บางรายยังมีอาการแขนอ่อนแรง มีปัญหาด้านการสื่อสาร การกลืน และมีอาการสับสนร่วมด้วย โดยปัญหาทั้งหมดนี้ นักกิจกรรมบำบัดจะทำหน้าที่ในการฟื้นฟูความสามารถเป็นหลัก ผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • กิจกรรมฝึกการทำงานของมือและนิ้ว (Fine Motor Skills) ฝึกการหยิบ การจับ และฝึกทักษะการใช้งาน เช่น การฝึกใช้ช้อนส้อม เกมจับคู่การ์ดหรือเรียงบล็อก เป็นต้น
  • กิจกรรมฝึกทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร การแต่งตัว การแปรงฟัน การอาบน้ำ เป็นต้น
  • กิจกรรมฝึกกลืนและการรับประทานอาหารด้วยตัวเอง
  • กิจกรรมฝึกสมาธิและฝึกวิเคราะห์ เช่น การพับกระดาษโอริกามิ (Origami) ปริศนาอักษรไขว้ (Crossword puzzles) ซูโดกุ (Sudoku)
  • ฝึกการรับรู้และพัฒนาความเร็วในการประมวลผล เช่น เกมจับคู่สี หรือรูปทรง

การบำบัดทางจิตใจ (Psychological Therapy)

และสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูอันดับต้น ๆ ในฟื้นฟู คือ สภาวะจิตใจของผู้ป่วย โโยทั่วไปผู้ป่วย SAH มักเผชิญกับความเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า การบำบัดทางจิตใจช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวทางอารมณ์ ฟื้นฟูคุณภาพชีวิต และรับมือกับความท้าทายหลังเกิดโรคได้ดียิ่งขึ้น

5 วิธีลดความเสี่ยงภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง

ถึงภาวะ SAH (Subarachnoid Hemorrhage) จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างตรงจุดและสามารถทำได้ง่าย ๆ อย่ารอให้สายเกินแก้ ได้แก่

  • ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพสมองหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย

SAH คือ ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง อันตรายและเกิดขึ้นฉับพลัน เสี่ยงต่อชีวิตและภาวะแทรกซ้อนทางสมอง การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตและพิการถาวรได้ นอกจากนี้ การฟื้นฟูหลังเกิด SAH ก็มีช่วยลดความพิการและเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อย่างตรงจุด 

และสำหรับใครที่กำลังมองหาศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยหลังผ่าตัด หรือกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโดยตรง PNKG recovery and elder care พร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยตามศาสตร์ ไคโก-โดะ ศาสตร์แห่งการฟื้นฟูทางกายภาพในแบบฉบับของประเทศญี่ปุ่น หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่

  • ศูนย์ PNKG Recovery and Elder Care ชั้น 2 โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น. จันทร์ – เสาร์ (ปิดวันอาทิตย์)
  • โทร: 080-910-2124
  • Facebook: PNKG Recovery and Elder Care
  • Line: PNKG

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับภาวะ SAH คืออะไร

ภาวะ SAH (Subarachnoid Hemorrhage) คือ ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง มีความรุนแรงสูงและอันตรายถึงชีวิต

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน คลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง ตาพร่า หรืออาจหมดสติทันที หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ให้ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สามารถรักษาได้ แต่ต้องทำอย่างเร่งด่วน วิธีรักษาที่ใช้บ่อย คือ การผ่าตัดหนีบหลอดเลือดโป่งพอง (Clipping) หรือใส่ขดลวดอุดหลอดเลือด (Coiling) ร่วมกับการให้ยาและดูแลในหอผู้ป่วยหนัก

ถือเป็นภาวะที่อันตรายมาก หากไม่ได้รับการรักษาทันทีอาจเสียชีวิตหรือพิการถาวรได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที

ส่งอาการเบื้องต้นให้เราช่วยประเมิน

ปรึกษากับทีมแพทย์และนักฟื้นฟูของเรา เพื่อให้คุณวางแผนได้อย่างมั่นใจ และตรงกับอาการมากที่สุด