โรคพาร์กินสัน คือ? อาการเป็นยังไง รักษายังไง เข้าใจจบใน 5 น.

โรคพาร์กินสัน คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร อาการโรคพาร์กินสัน มีอะไรบ้าง โรคพาร์กินสัน สามารถรักษาให้หายได้ไหม
Table of Contents
โรคพาร์กินสัน (Parkinson) หรือสั่นสันนิบาต อาการสั่นที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ สู่อาการสั่นแบบไร้สาเหตุโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ PNKG Recovery and Elder Care ชวนทุกคนมาทำความรู้จักพาร์กินสัน โรคเงียบ สะท้อนความเสื่อมของสมองและระบบประสาท เมื่อคนใกล้เริ่มตัวมีอาการสั่น พาร์กินสัน คืออะไร? มีสาเหตุมาจากอะไร อาการสั่นแบบไหนเข้าข่ายเป็นโรค Parkinson ผู้ป่วยพาร์กินสัน ไม่ควรกินอะไร ถ้าเป็นแล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ไหม? สรุปกระชับเข้าใจจบใน 5 นาที

รู้จักโรคพาร์กินสัน คืออะไร? โรคเงียบ เมื่อสมองเริ่มเสื่อมสภาพ

โรคพาร์กินสัน คือ โรคที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของสมองและระบบประสาทเริ่มเสื่อมสภาพ เมื่อเบซัลแกงเกลีย ((Basal Ganglia) ในสมองส่วนหน้า (Forebrain) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหว ผลิตสารสื่อประสาทที่เรียกว่า โดพามีน (Dopamine) สารเคมีที่สมองใช้ในการสื่อสารระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเคลื่อนไหวของร่างกายลดลง ทำให้มีอาการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยผิดปกติ เช่น การสั่นแบบควบคุมไม่ได้ เคลื่อนไหวช้าลง และมีปัญหาเรื่องการทรงตัว ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยอาการของโรคจะค่อย ๆ ทรุดลงเรื่อย ๆ จนกระทบกับคุณภาพชีวิตในที่สุด 

โรคพาร์กินสัน เกิดจากอะไร?

ปัจจุบัน Parkinson ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่แน่ชัด ซึ่งรวมถึงปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดโรคด้วย แต่มีการสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากสาเหตุหลักที่พบบ่อย ๆ ในผู้สูงอายุ ดังต่อไปนี้ 

  • การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาแก้อาเจียน ยาแก้วิงเวียนศีรษะ เป็นต้น
  • ความผิดปกติทางสมอง เช่น ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ สมองขาดออกซิเจนหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) หรือโรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) เป็นต้น
  • ประวัติคนในครอบครัว โดยพบว่า Parkinson สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ถึงร้อยละ 10-15

8 สัญญาณ สั่นแบบไหนเข้าข่ายเป็นพาร์กินสัน 

8 สัญญาณอาการโรคพาร์กินสัน สั่นแบบไหนเข้าข่ายเป็นพาร์กินสัน 

  • มีอาการสั่น หรือกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง
  • เคลื่อนไหวช้าลง 
  • ทรงตัวได้ไม่ดี
  • พูดช้า เสียงเบา
  • ล้มง่าย
  • สีหน้าไร้อารมณ์
  • หลังค่อม ตัวงุ้มลง
  • เขียนหนังสือตัวเล็กลง จากการเคลื่อนไหวผิดปกติ

นอกจากนี้ พาร์กินสันยังมีอาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว เช่น มีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า นอนหลับไม่สนิท ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก ความสามารถในการรับกลิ่นลดลง เป็นต้น

โรคพาร์กินสัน มีกี่ระยะ?

พาร์กินสันสามารถแบ่งระยะของโรคได้ 5 ระยะ จากเบาไปจนถึงหนัก (แบ่งตามเกณฑ์ Modified Hoehn – Yahr)

  • ระยะที่ 1 : ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะมีอาการไม่รุนแรงมาก เริ่มมีสั่นถึงแม้จะอยู่เฉย ๆ ก็ตาม เริ่มเคลื่อนไหวช้าลง กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง แต่ยังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้
  • ระยะที่ 2 : อาการเริ่มชัดเจนกว่าระยะแรก อาการสั่นเริ่มลุกลามไปที่อวัยวะอีกข้าง เริ่มหลังงอ เดินช้าลง
  • ระยะที่ 3 : มีปัญหาเรื่องการทรงตัว ลุก ยืนลำบาก มีโอกาสหกล้มได้ง่าย
  • ระยะที่ 4 : ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลงกว่าเดิม ต้องมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด
  • ระยะที่ 5 : โรคพาร์กินสัน ระยะสุดท้ายเป็นระยะที่รุนแรงที่สุด ผู้ป่วยจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย เช่น ไม่สามารถทานอาหารได้เอง มือหงิกงอ หากปล่อยไว้ จะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง (Bedridden) ไปในที่สุด

ทั้งนี้ Parkinson ควรได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งช่วยชะลอการพัฒนาระยะความรุนแรงของโรค และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย  

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นพาร์กินสัน?

  • ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 
  • ผู้ที่ใช้ยาทางจิตเวชบางประเภท
  • พันธุกรรม : มีประวัติครอบครัวเป็นพาร์กินสัน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคประมาณ 10-15% 
  • ผู้ที่อาศัยในนิคมอุตสาหกรรม สัมผัสหรือสูดดมสารเคมีบางชนิด เช่น แมงกานีส ทองแดง เป็นต้น
  • ผู้ที่ได้รับอาการบาดเจ็บทางศีรษะอย่างรุนแรง หรือมีประวัติอุบัติเหตุทางศีรษะ
  • ประกอบอาชีพที่เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนศีรษะ เช่น นักมวย นักฟุตบอล

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นพาร์กินสัน มีอะไรบ้าง?

  • อายุ: อายุที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ผู้สูงอายุที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป
  • เพศ: ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเป็นพาร์กินสันมากกว่าผู้หญิง
  • พันธุกรรม: มีประวัติครอบครัวเป็นพาร์กินสัน
  • ผู้ที่อาศัยในนิคมอุตสาหกรรม สัมผัสหรือสูดดมสารเคมีบางชนิด เช่น แมงกานีส ทองแดง เป็นต้น
  • ผู้ที่ได้รับอาการบาดเจ็บทางศีรษะอย่างรุนแรง

ผู้ป่วยพาร์กินสัน ไม่ควรกินอะไร?

  • อาหารไขมันสูง ไม่ว่าจะเป็น ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน เป็นต้น 
  • อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง 
  • อาหารที่มีรสจัด (เปรี้ยว เผ็ด เค็ม และหวาน)
  • อาการที่มีโปรตีนสูง ในกรณีที่ต้องทานยา เพราะโปรตีนจะเข้าไปรบกวนการดูดซึมของยา ส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลงได้
  • กรณีที่มีการใช้ยารักษากลุ่ม Levodopa ควรหลีกเลี่ยงธาตุเหล็ก เนื่องจากธาตุเหล็กจะลดการดูดซึมยา

โดยผู้ป่วยควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อาการที่มีเส้นใยสูงอย่างผัก และผลไม้ และแบ่งการรับประทานเป็นมื้อเล็ก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจากความดันโลหิตต่ำ อย่างอาการเวียนหัวเป็นต้น

โรคพาร์กินสัน วิธีรักษา มีอะไรบ้าง? 

ปัจจุบัน พาร์กินสันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถช่วยประคับประคองให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ปัจจุบัน พาร์กินสันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถช่วยประคับประคองให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษา ดังต่อไปนี้

การดูแลผู้ป่วยพาร์กินสัน

โดยทั่วไป อาการของ Parkinson จะค่อย ๆ ทรุดลงเรื่อย ๆ จนกระทบกับคุณภาพชีวิตในที่สุด และที่สำคัญโรคนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ คนในครอบครัวหรือผู้ดูแลจึงควรทำความเข้าใจและคอยช่วยดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข โดยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้

  • ช่วยผู้ป่วยในการบริหารร่างกาย เพื่อป้องกันการเกิดข้อยึดติด ฝึกการทรงตัว เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุ การล้ม ปัญหาการกลืน การพูด
  • ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ เนื่องจากผู้ป่วยพาร์กินสันจะสามารถทำ กิจกรรมต่าง ๆ ได้ช้า จึงทำให้มักมีอาการท้องผูก
  • ทำความเข้าใจผู้ป่วยและคอยดูแลสภาพจิตใจของผู้ป่วยด้วย เช่น ปัญหานอนไม่หลับ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาด้านจิตใจ และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้

โรคพาร์กินสัน วิธีป้องกัน มีอะไรบ้าง?

โรคพาร์กินสัน คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร อาการโรคพาร์กินสัน มีอะไรบ้าง โรคพาร์กินสัน สามารถรักษาให้หายได้ไหม

ถึงแม้ว่าทางการแพทย์จะยังไม่ทราบสาเหตุของโรค แต่เราสามารถชะลอความเสื่อมของเซลล์สมองได้โดยการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจ เพื่อชะลอการเสื่อมของเซลล์สมองและระบบประสาท เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป ทั้งนี้ หากสังเกตเห็นตนเองหรือคนในครอบครัวเริ่มมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ให้เร็วที่สุด ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งช่วยชะลอการพัฒนาระยะความรุนแรงของโรค และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย  

สำหรับผู้ที่สนใจรับบริการทำกายภาพบำบัดอย่างเข้มข้น เพื่อชะลอการความรุนแรงของโรค ควบคู่ไปกับการดูแลทางด้านจิตใจ ด้วยศาสตร์แห่งไคโก-โดะ ศาสตร์การฟื้นฟูแบบฉบับญี่ปุ่นที่มีประสิทธิภาพอย่ารอช้า ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

  • ศูนย์ PNKG Recovery and Elder Care ชั้น 2 โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น. จันทร์ – เสาร์ (ปิดบริการวันอาทิตย์)
  • โทร : 080-910-2124
  • Line : PNKG
  • Facebook : PNKG Recovery and Elder Care

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับพาร์กินสัน

โดยทั่วไป อาการของพาร์กินสันจะค่อย ๆ ทรุดลงเรื่อย ๆ โดยโรค Parkinson ระยะสุดท้ายเป็นระยะที่รุนแรงจนผู้ป่วยต้องอยู่ในสภาวะติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง แต่ยังไม่มีการวิจัยที่แน่ชัดว่าผู้ป่วยจะมีอายุต่อเฉลี่ยได้อีกกี่ปี ซึ่งระยะเวลาที่เหลืออยู่จะขึ้นอยู่กับการดูแล การทานอาหาร การทำกายภาพประกอบด้วยเช่นกัน

ขึ้นอยู่กับว่าคนไข้อยู่ในระยะไหนแล้ว ถ้าหากอยู่ในระยะแรก ๆ และเริ่มรักษา ฟื้นฟูร่างกายไว ก็จะชะลออาการให้เกิดช้าลง ร่างกายแข็งแรง แต่ยิ่งระยะสูง โอกาสที่อาการของโรคจะรุนแรงขึ้นหรือความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุก็จะยิ่งมากตาม

พาร์กินสันเป็นโรคที่รักษาไม่หาย อาการของโรคจะดำเนินไปเรื่อย ๆ (Progressive Disease) ซึ่งสิ่งที่จะคอยช่วยคงอาการผู้ป่วย คือ การทำกายภาพบำบัด โดยการทำกายภาพบำบัดจะชะลอการดำเนินโรคให้เป็นไปอย่างช้าที่สุด หากผู้ป่วยไม่ได้กายภาพบำบัด ฟื้นฟู หรือกินยาเลย ผู้ป่วยจะทรุดเร็ว ทำให้เข้าสู่ภาวะผู้ป่วยติดเตียงได้ไวขึ้น

ส่งอาการเบื้องต้นให้เราช่วยประเมิน

ปรึกษากับทีมแพทย์และนักฟื้นฟูของเรา เพื่อให้คุณวางแผนได้อย่างมั่นใจ และตรงกับอาการมากที่สุด