กายภาพบําบัด คืออะไร? ทางเลือกใหม่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

กายภาพบําบัด คืออะไร? ทางเลือกใหม่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
Table of Contents

ทำความเข้าใจศาสตร์แห่งการฟื้นฟูด้วยการทำกายภาพบําบัด (Physical Therapy) หนึ่งในทางเลือกใหม่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า คลายข้อสงสัย ทำไมถึงช่วยฟื้นฟูความสามารถและตอบโจทย์กลุ่มผู้ป่วยและผู้สูงอายุได้อย่างตรงจุด แล้วปัจจุบัน การทำกายภาพ มีกี่ประเภท? เหมาะกับใครบ้าง รู้ลึกครบทุกด้านไปกับ PNKG Recovery and eldery care ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชั้นนำในไทย

ทำความเข้าใจการทำกายภาพบําบัด (Physical Therapy) คืออะไร

กายภาพบําบัด คือ วิชาชีพทางการแพทย์และสุขภาพที่เน้นฟื้นฟูความผิดปกติของร่างกายที่เกิดจากภาวะเจ็บป่วย การบาดเจ็บ ความพิการ หรือข้อจำกัดทางกายภาพ โดยไม่ใช้ยาและการผ่าตัด เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกับการออกกำลังกายทาง และเครื่องมือทางการแพทย์หรือกายอุปกรณ์ (Orthosis and Prosthesis: PO) ให้เหมาะสมสำหรับอาการนั้น ๆ เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพการเคลื่อนไหว ลดความเจ็บปวด และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และต้องทำโดยนักกายภาพบำบัด (Physical Therapist) หรือ PT เท่านั้น

กายภาพบำบัด สามารถแบ่งได้กี่ประเภท

การทำกายภาพบําบัด สามารถแบ่งได้ 5 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ กายภาพระบบประสาท ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ หลอดเลือดและหัวใจ ผู้สูงอายุ สำหรับเด็ก

กายภาพระบบประสาท (Neurological Physical Therapy)

สำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบประสาท มีอาการอ่อนแรง มีปัญหาด้านการทรงตัว และไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ เช่น 

โดยการทำกายภาพในกลุ่มนี้ หลัก ๆ จะเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และความทนทานให้กับกล้ามเนื้อ พร้อมลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยได้มากยิ่งขึ้น 

กายภาพระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ (Orthopedic Physical Therapy)

เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ เช่น ปวดหลัง ปวดเข่า บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรือหลังการผ่าตัดกระดูกและกล้ามเนื้อ โดยการกายภาพของกลุ่มอาการนี้จะเน้นการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ

กายภาพหลอดเลือดและหัวใจ (Cardiovascular and Pulmonary Physical Therapy)

ส่วนการทำกายภาพสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลวเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง (COPD) หรือผู้ที่เพิ่งผ่าตัดหัวใจและทรวงอก โดยแนวทางการทำกายภาพจะเน้นการเพิ่มความแข็งแรงของระบบหัวใจและปอด เพิ่มความทนทานของร่างกาย ลดอาการเหนื่อยง่าย ด้วยการการออกกำลังกายเบา ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด พร้อมลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อย่างตรงจุดด้วย

กายภาพในผู้สูงอายุ (Geriatric Physical Therapy)

ด้วยอายุที่มากขึ้น ร่างกายก็เริ่มเสื่อมถอยตามเวลา ยิ่งประกอบกับโรคประจำตัวที่พบบ่อย เช่น ข้อเสื่อม ข้ออักเสบ ภาวะกระดูกบาง อัลไซเมอร์ เป็นต้น ก็ยิ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงเรื่อย ๆ การทำกายภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุพอ ๆ กับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ โดยการทำกายภาพในกลุ่มนี้จะเน้นฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหว ลดความเสี่ยงต่อการล้ม และเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มสมรรถภาพร่างกายให้กับผู้สูงอายุ

กายภาพสำหรับเด็ก (Pediatric Physical Therapy)

ส่วนกายภาพสำหรับเด็ก จะเน้นการพัฒนาและฟื้นฟูการเคลื่อนไหวในเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า หรือมีความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น สมองพิการ (Cerebral Palsy) เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือและทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองได้ พร้อมส่งเสริมพัฒนาการให้กับเด็กด้วย

2 เทคนิคการฟื้นฟูด้วยการทำกายภาพ

เทคนิคการฟื้นฟูด้วยการทำกายภาพบําบัดที่นิยมในปัจจุบัน ได้แก่ Manual technique และ Physical Modality 

Manual technique 

หรือ Manual Therapy คือ หนึ่งในเทคนิคหลักของการทำกายภาพที่ทำโดยนักกายภาพที่มีความเชี่ยวชาญและความรู้ในเรื่องของกายวิภาคศาสตร์สรีรวิทยา เพื่อลดการตึงรั้งของพังผืด ฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของข้อต่อ คลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัวให้กลับมาเคลื่อนไหวและประสิทธิภาพการทำงานของให้ดีขึ้นหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด พร้อมป้องกันการบาดเจ็บและการเกร็งตัวของกล้ามนื้อซ้ำอีก โดยไม่ใช้ยา การผ่าตัด หรือเครื่องจักรเพิ่มเติม

ข้อดีเทคนิค Manual technique 

  • แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แค่ระงับอาการ
  • ปลอดภัย ไม่เจ็บมาก และไม่มีผลข้างเคียง
  • เห็นผลชัดเจนในช่วงเวลาไม่นานหากทำอย่างต่อเนื่อง

Physical Modality 

การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อ ข้อต่อ หรือระบบประสาท โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อลดความเจ็บปวด เพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว และเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เช่น 

  • ธาราบำบัด (Hydrotherapy) 
  • เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulator)
  • เครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า(Electromagnetic Stimulator)
  • การบำบัดด้วยหุ่นยนต์ (Robotic)
  • การฝังเข็ม (Dry Needling) 
  • เครื่องรักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shock wave Therapy)

ข้อดีเทคนิค Physical Modality 

  • ลดอาการปวดเฉียบพลันหรือปวดเรื้อรังได้ โดยไม่ต้องพึ่งพายา
  • ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงหรือไม่มีการใช้งานเป็นเวลานาน เช่น ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ ช่วยให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ดีขึ้น

อาการหรือกลุ่มโรคแบบไหนควรทำกายภาพ

การรักษาด้วยการทำกายภาพไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะผู้สูงอายุอย่างเดียว เพราะจริง ๆ แล้ว การทำกายภาพ สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย เพราะหลายคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองควรทำ คิดว่าแค่ปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ เดี๋ยวก็หาย สุดท้ายกลายเป็นเรื้อรังไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการผิดปกติ หรือผู้ที่กำลังประสบปัญหา

ปัจจุบัน การรักษาด้วยการทำกายภาพไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะผู้สูงอายุอย่างเดียว เพราะจริง ๆ แล้ว การทำกายภาพ สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย เพราะหลายคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองควรทำ คิดว่าแค่ปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ เดี๋ยวก็หาย สุดท้ายกลายเป็นเรื้อรังไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการผิดปกติ หรือผู้ที่กำลังประสบปัญหา ดังต่อไปนี้ 

  • ผู้ที่มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีกจากการโรคหลอดเลือดสมอง
  • ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 
  • ผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม 
  • ผู้สูงอายุที่มีโรคอัลไซเมอร์
  • ผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมองและผ่าตัดข้อเสื่อม
  • ผู้ป่วยติดเตียง (Bedridden)
  • ผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการข้อไหล่ติด กล้ามเนื้อลีบเล็ก หรืออ่อนแรง 
  • ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เช่น กระดูกหัก, ข้อเคลื่อน, เอ็นฉีกขาด เป็นต้น
  • ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการทำกิจกรรม เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา
  • ผู้ที่มีลักษณะการเดินผิดปกติ เช่น เดินตัวเอียง เดินลากเท้า เป็นต้น
  • ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง

กายภาพบำบัด ช่วยคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร?

กายภาพเป็นหนึ่งในแนวทางในการฟื้นฟูความสามารถของร่างกายที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยา หรือการผ่าตัด ซึ่งนอกจากจะช่วยลดอาการปวดหรือฟื้นฟูร่างกายได้แล้ว ยังช่วยฟื้นฟูคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยข้อดีหลัก ๆ ของการทำกายภาพ มีดังนี้ 

  • ลดอาการปวดได้อย่างตรงจุดโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา
  • ฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกาย
  • ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น เช่น เดิน ยืน ยกแขน ยืดขา หรือทำกิจวัตรประจำวันได้คล่องมากยิ่งขึ้น
  • เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่ได้ใช้งานกล้ามเนื้อมานาน ลดความเสี่ยงในการล้ม
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคหรือการผ่าตัด เช่น ปอดแฟบ ข้อติด หรือกล้ามเนื้อลีบ โดยเฉพาะผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลนาน หรือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
  • ลดความจำเป็นในการใช้ยาและการผ่าตัด เช่น ปวดหลังเรื้อรัง หรือหมอนรองกระดูกเสื่อม
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้า ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีความมั่นใจได้อีกครั้ง
  • ลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต

กายภาพบำบัดกับนวดด้วยหมอนวด แตกต่างกันอย่างไร? 

กายภาพบำบัดการนวด
จุดเด่นรูปแบบการรักษา จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและอาการของผู้ป่วยเน้นผ่อนคลายชั่วคราว
ผู้ทำการรักษารักษาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู หรือนักกายภาพบำบัดรักษาโดยผู้มีทักษะนวด
วิธีการรักษามีการวิเคราะห์อาการ แนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม พร้อมปรับแผนการฟื้นฟูใช้เทคนิคทั่วไป เช่น กดจุด ยืดเส้น
เหมาะกับใครเหมาะกับอาการเจ็บเรื้อรัง กล้ามเนื้อ ข้อต่อ หรือโรคทางระบบประสาทเหมาะกับความเมื่อยล้าชั่วคราว หรือผ่อนคลายทั่วไป
  • การนวด คือ การบีบ คลึง จับ กดจุด หรือใช้ลูกประคบ น้ำมัน สมุนไพรเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ลดอาการเมื่อยล้า และทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เหมาะกับคนที่ต้องการผ่อนคลายความเมื่อยเฉพาะจุด เช่น คอ บ่า ไหล่ จากการนั่งทำงานนานๆ
  • ส่วนการทำกายภาพบำบัด คือ การฟื้นฟูร่างกายโดยนักกายภาพ ผ่านการวิเคราะห์ระบบกล้ามเนื้อ กระดูก และระบบประสาท โดยใช้อุปกรณ์หรือเทคนิคเฉพาะ เช่น อัลตราซาวนด์ไฟฟ้ากระตุ้น การออกกำลังกายเฉพาะจุด เทคนิคดัดดึงข้อต่อ เพื่อช่วยให้ร่างกายกลับมาเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงปกติที่สุด เหมาะกับคนที่มีอาการบาดเจ็บจากการทำงาน อุบัติเหตุ โรคหลอดเลือดสมอง หรือออฟฟิศซินโดรมเรื้อรัง

ขั้นตอนการเข้ารับการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด

  • ลงทะเบียนและซักประวัติ : เจ้าหน้าที่จะสอบถามข้อมูลเบื้องต้น เช่น ประวัติอาการเจ็บ ปวด บาดเจ็บ โรคประจำตัว หรืออุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้น พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การนั่งทำงาน ยืน หรือออกกำลังกาย เพื่อให้เข้าใจภาพรวมสุขภาพ และเตรียมแผนการรักษาที่เหมาะสม
  • ประเมินร่างกายโดยนักกายภาพบำบัด : ตรวจวิเคราะห์ระบบกล้ามเนื้อ ข้อต่อ หรือระบบประสาทที่มีปัญหา เช่นทดสอบช่วงการเคลื่อนไหว (ROM) วัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ตรวจท่าทาง (Posture) ทดสอบความเจ็บปวด (Pain scale) เพื่อหาสาเหตุของอาการ และวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
  • วางแผนการรักษา : หลังประเมิน นักกายภาพจะอธิบายให้เข้าใจว่าจะทำการรักษาด้วยวิธีไหน ใช้เครื่องมืออะไรบ้าง ต้องเข้ารับการบำบัดกี่ครั้ง ระยะเวลาเท่าไร เพื่อให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและเข้าใจแนวทางฟื้นฟู
  • เริ่มทำกายภาพตามแผนการรักษา เช่น ออกกำลังกายเฉพาะจุด ฝึกการเคลื่อนไหว ดัดข้อต่อ หรือยืดกล้ามเนื้อ ใช้เครื่องมือช่วยบำบัด เช่น เครื่องดึงคอ กระตุ้นไฟฟ้า อัลตราซาวด์ ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคนจะได้แผนการรักษาที่ออกแบบเฉพาะตามอาการ
  • ประเมินผลและติดตามอาการ : หลังการบำบัด นักกายภาพจะติดตามผลการตอบสนอง ถ้าอาการดีขึ้น อาจลดจำนวนครั้ง ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น อาจปรับแผนหรือส่งต่อแพทย์เฉพาะทาง

เป้าหมายของกายภาพ คือ ไม่ใช่แค่ดีขึ้นชั่วคราว แต่กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด หากมีอาการปวดเรื้อรัง บาดเจ็บจากออฟฟิศซินโดรม อุบัติเหตุ หรือโรคที่ทำให้การเคลื่อนไหวลำบาก การเข้ารับกายภาพอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย 

การฟื้นฟูร่างกายจากอาการเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือความพิการ โดยไม่ใช้ยาและไม่ผ่าตัด เน้นการปรับพฤติกรรม การออกกำลังกายเฉพาะทาง และการใช้เครื่องมือหรือกายอุปกรณ์ที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดความเจ็บปวด ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

จริง ๆ ขึ้นอยู่กับอาการ ถ้าพักแล้วดีขึ้นก็อาจไม่ต้องทำกายภาพ แต่ถ้าเป็นซ้ำ เคลื่อนไหวยากหรือหายช้า การทำกายภาพบำบัด คือ คำตอบ โดยเฉพาะกลุ่มอาการเหล่านี้

  • มีอาการปวดหรือบาดเจ็บที่กลับมาเป็นซ้ำ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ออฟฟิศซินโดรม หรือเจ็บเข่าจากการใช้งานนานๆ  ถ้าไม่ทำกายภาพ อาการจะวนกลับมาอีก เพราะไม่ได้แก้สาเหตุที่ต้นตอ
  • เพิ่งผ่าตัดหรือเกิดอุบัติเหตุ : ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ฟื้นฟูเร็ว ลดการยึดติดของข้อต่อ และป้องกันการกล้ามเนื้อลีบ
  • โรคหลอดเลือดสมอง พาร์กินสัน หรืออัลไซเมอร์ : กายภาพจะช่วยฝึกทักษะการทรงตัว ฝึกเคลื่อนไหว ลดความเสี่ยงล้ม และทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น
  • อาการอาจทรุดลง หรือกลายเป็นเรื้อรัง
  • ข้อต่อบางส่วนอาจ ติดยึด หรือเคลื่อนไหวได้น้อยลง
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้ใช้ชีวิตลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ
  • เสี่ยงเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น อาการปวดลุกลาม ล้มง่าย หรือกล้ามเนื้อลีบ
  • การบริหารร่างกายและออกกำลังบำบัด (Exercise Therapy) ใช้การเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงและความยืดหยุ่น
  • การนวดบำบัด (Massage Therapy) เพื่อลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนเลือด
  • การใช้ความร้อนและความเย็น (Thermotherapy & Cryotherapy) เพื่อลดอักเสบและบรรเทาอาการปวด
  • การใช้กระแสไฟฟ้าบำบัด (Electrotherapy) เช่น TENS, อัลตราซาวด์
  • การรักษาด้วยมือ (Manual Therapy) เพื่อลดตึง ลดปวด เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย
  • ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เช่น คอ บ่า ไหล่ หลัง หรือปวดซ้ำ ๆ ในจุดเดิม แม้จะนวดหรือกินยาแล้วก็ตาม
  • ข้อติด ข้อฝืด เคลื่อนไหวยาก เช่น ยกแขนไม่ขึ้น งอหรือเหยียดได้ไม่สุด
  • บาดเจ็บจากการออกกำลังกาย หรืออุบัติเหตุ 
  • ฟื้นฟูหลังผ่าตัด เช่น ผ่าตัดกระดูก ข้อ หัวเข่า ไหล่ ผ่าตัดเส้นประสาท หรือหลัง
  • โรคทางระบบประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) พาร์กินสัน ปลายประสาทอักเสบ มือ–เท้าอ่อนแรง
  • ผู้สูงอายุที่เริ่มเคลื่อนไหวลำบาก

ขึ้นอยู่วิธีการทำกายภาพ บริเวณที่ทำรักษาและเครื่องมือที่ใช้ และสาเหตุของอาการ โดยทั่วการทำกายภาพจะเริ่มต้น 1,300 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่แพ็กเกจหรือโปรโมชัน รวมถึงความถี่ในการทำการรักษาด้วย

ดีมาก และควรทำตั้งแต่เนิ่น ๆ ที่เริ่มมีอาการ เพื่อฟิ้นฟูทักษะการเคลื่อนไหว ลดความเจ็บปวด หรือการฟื้นฟูหลังเจ็บป่วยได้อย่างตรงจุด พร้อมลดความเสี่ยงในการเกิดเรื้อรัง หรือภาวะติดเตียงด้วย

ส่งอาการเบื้องต้นให้เราช่วยประเมิน

ปรึกษากับทีมแพทย์และนักฟื้นฟูของเรา เพื่อให้คุณวางแผนได้อย่างมั่นใจ และตรงกับอาการมากที่สุด