PNKG RECOVERY CENTER ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง(Stroke) ระบบประสาท ฟื้นฟูหลังผ่าตัด และผู้สูงอายุ

4 วิธีดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบให้แข็งแรง ลดเสี่ยงป่วยซ้ำ

  • Home
  • บทความ
  • 4 วิธีดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบให้แข็งแรง ลดเสี่ยงป่วยซ้ำ

แชร์ 4 วิธีดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบอย่างไรให้ฟื้นตัวดีและมีประสิทธิภาพ ดูแลผู้ป่วย Stroke ยังไงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดโอกาสเกิดโรคซ้ำ อัปเดตฉบับผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูและการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ตามหลักการดูแลผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบและโรคหลอดเลือดสมองของศูนย์ PNKG Recovery and elder care

4 เทคนิคการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หลังได้รับการรักษา

การดูแลผู้ป่วย stroke หรือผู้ป่วยโรคเส้นเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) ด้วยความเข้าใจและเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะความสามารถที่จำเป็นในการชีวิตแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซ้ำได้อีกด้วย โดย 4 แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ถูกต้องและเหมาะสม มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 

1. การฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม

การฟื้นฟูสมรรถภาพเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะในช่วง Golden Period โดยแผนการฟื้นฟูควรจะมีรูปแบบที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้ป่วย ฝึกอย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับความซับซ้อนหรือความยากในการฝึกได้ เมื่อผู้ป่วยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ

การฟื้นฟูสมรรถภาพเป็นสิ่งที่ทางครอบครัวและผู้ดูแลควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ หลังทำการรักษา โดยเฉพาะในช่วง Golden Period (ช่วง 0-6 เดือนแรก นับตั้งแต่วันที่มีอาการ) ซึ่งเป็นช่วงที่สมองสามารถเรียนรู้และฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยแผนการฟื้นฟูควรจะมีรูปแบบที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้ป่วย ฝึกอย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับความซับซ้อนหรือความยากในการฝึกได้ เมื่อผู้ป่วยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ

  • กายภาพบำบัด (Physical Therapy) : สำหรับกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) จะเน้นการฝึกการเคลื่อนไหวเป็นหลัก โดยจะเริ่มจากการทรงตัว การยืน และการเดินตามลำดับ เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ และเพิ่มความทนทาน (Endurance) ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้นานและไกลมากยิ่งขึ้น
  • กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy)
    • ฝึกกลืนอาหาร สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia) มีสายอาหาร (NG Tube) หรือมีปัญหาด้านความคิดและความเข้าใจ (Cognitive)
    • ฝึกพูด (Speech Therapy) : สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการสื่อสาร ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด หรือไม่สามารถสื่อสารได้ 
    • ฝึกการใช้แขน ข้อมือ และนิ้วมือ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง 
    • ฝึกการรับรู้และความเข้าใจ (Cognitive Training) : พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และการตัดสินใจ ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการสับสน หรือมีปัญหาด้านความจำโดยเฉพาะ 
  • การฝึกกิจวัตรประจำวัน (ADLs) : เป็นรูปแบบการฝึก เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น การฝึกเข้าห้องน้ำ ทำความสะอาดด้วยตัวเองเมื่อทำธุระเสร็จ ฝึกอาบน้ำ สระผม แปรงฟัน การใส่เสื้อผ้า การรับประทานอาหาร รวมถึงการใส่ถุงเท้าและรองเท้าด้วยตัวเอง เป็นต้น 

การฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอตามแผนการรักษาที่กำหนด จะช่วยให้ผู้ป่วยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ลดอาการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว นอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว และทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตแล้ว ยังช่วยเยียวยาทานด้านจิตใจ และช่วยลดโอกาสเกิดความเครียด วิตกกังวล หรือหมดความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้อย่างตรงจุดอีกด้วย 

2. ควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างเข้มงวด

ผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองทุกเคส มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคซ้ำได้มากกว่าคนทั่วไป การควบคุมปัจจัยเสี่ยง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบที่ควรให้ความสำคัญ 

โดยทั่วไป กลุ่มผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองทุกเคส มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคซ้ำได้มากกว่าคนทั่วไป เนื่องจาก รอยโรคที่เป็นอยู่ ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ การควบคุมปัจจัยเสี่ยง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบที่ควรให้ความสำคัญ 

3. การดูแลสภาวะทางจิตใจและอารมณ์

การดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากด้านกายภาพแล้ว การฟื้นฟูด้านอารมณ์และจิตใจก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะโรคนี้ไม่ได้กระทบแค่ร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วยโดยตรง โดยการดูแลผู้ป่วย stroke ทางด้านจิตใจสามารถเริ่มได้จาก

  • การให้กำลังใจ เมื่อผู้ป่วยมีอาการหงุดหงิด หรือท้อแท้ 
  • เปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดโปร่ง และปลอดเปลี่ยน เพื่อลดความเครียดที่อาจเกิดขึ้นได้ 
  • สนับสนุนให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรม เพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนหรือผู้อื่นมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเหงา หรือความครียดแล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่า และมีกำลังใจในการฟื้นฟูมากขึ้นด้วย
  • หากผู้ป่วยมีอาการเบื่อหน่าย ไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ ที่เคยชอบ นอนไม่หลับ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินและรักษา

4. รับประทานยาและการติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

การรับประทานยาและการติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว  

และเทคนิคสุดท้ายในการการดูแลผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ คือ การรับประทานยาและการติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว  

  • รับประทานยาโรคประจำตัวอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นยาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด หรือโรคอื่น ๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
  • การติดตามการรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินอาการ ปรับยา และให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม
  • สังเกตอาการผิดปกติตามหลัก Be Fast Stroke เช่น แขนขาอ่อนแรง ซีกใดซีกหนึ่ง หน้าเบี้ยว พูดไม่ชัด มองเห็นลำบาก ปวดศีรษะรุนแรง หรือเวียนศีรษะ หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • ตรวจสุขภาพประจำปี

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบ

เส้นเลือดในสมองตีบ ห้ามทำอะไรบ้าง

– เปลี่ยนยา- หรือหยุดยาเอง : เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคซ้ำ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจอันตรายถึงชีวิต
– กลั้นอุจจาระปัสสาวะหรือเบ่งถ่ายแรง ๆ : อาจเพิ่มความดันในสมอ
– ใช้ยาสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เสริม อาหารเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ : อาจมีผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยากับยาที่ใช้อยู่
– ความเครียด : ควรหาวิธีจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม

เส้นเลือดในสมองตีบ รักษาหายไหม

สามารถรักษาได้ และผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถฟื้นตัวและกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว (ภายใน 4.5 ชั่วโมง) และเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้ป่วยควรได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง และควบคุมปัจจัยเสี่ยงไปพร้อม ๆ กัน เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำ

โรคเส้นเลือดในสมองตีบ ห้ามกินผลไม้อะไร

ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย น้อยหน่า ขนุน องุ่น เงาะ ผลไม้เชื่อม ผลไม้กระป๋องในน้ำเชื่อม น้ำผลไม้ เป็นต้น เนื่องจาก มีปริมาณน้ำตาลและไขมันสูง ซึ่งอาจส่งเสียต่อระดับน้ำตาลในเลือดและปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับโรคได้ 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า