อัมพฤกษ์ อัมพาต คืออะไร? ทำความรู้จักโรคฮิตที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ในพริบตา อัมพฤกษ์ครึ่งซีก มีสาเหตุจากอะไร ทำไมถึงกลายเป็นโรคที่ใคร ๆ ก็สามารถเป็นได้ เมื่อภาวะอ่อนแรงกะทันหันไม่ใช่เรื่องไกลตัวที่เกิดเฉพาะผู้สูงอายุอย่างเดียว แต่วัยรุ่น วัยทำงานก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน เปิด 5 สัญญาณ อัมพฤกษ์อัมพาตหรือโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) รู้ก่อน รับมือทัน รอดพิการถาวร
ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต คืออะไร?
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือโรคอัมพฤกษ์อัมพาตที่คนไทยชอบเรียก คือ ภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง หรือมีเลือดออกในสมอง ทำให้เซลล์สมองที่โดนอุดจนเลือดไม่สามารถไหลผ่าน หรือเซลล์สมองที่โดนเลือดกดทับเสียหาย ส่งผลให้ร่างกายหรือความสามารถบางส่วนผิดปกติ เช่น เคลื่อนไหว ผิดปกติ ไม่สามารถสื่อสารได้ หรือมีอาการสับสน เป็นต้น โดยระดับความเสียหายของเซลล์สมองจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เข้ารับการรักษา ยิ่งรับการรักษาเร็วเท่าไร ก็ยิ่งช่วยลดความเสียหายของเซลล์สมองได้มากเท่านั้น
อัมพฤกษ์ อัมพาต แตกต่างกันอย่างไร?
เมื่อร่างกายมีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหว หลายคนมักจะเรียกว่าภาวะนี้ว่า อัมพฤกษ์อัมพาต แต่จริง ๆ แล้ว อาการอัมพฤกษ์อัมพาตไม่เหมือนกัน โดยมีความแตกต่างกัน ดังนี้
อัมพฤกษ์ (Hemiparesis/Paresis)
อัมพฤกษ์อาการภาวะที่แขนขาซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย อ่อนแรง เคลื่อนไหวได้ช้า แต่ยังพอสามารถเคลื่อนไหวหรือใช้งานได้บางส่วน เกิดจากเซลล์สมองได้รับความเสียหายบางส่วน หรือได้รับความเสียหายไม่รุนแรง โดยผู้ป่วยยังมีโอกาสฟื้นฟูความสามารถให้กลับมาใช้งานได้ ถ้าได้รับการรักษาและทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องและไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อัมพาต (Paralysis/Hemiplegia)
ส่วนอัมพาตเป็นภาวะที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือใช้งานได้ ซึ่งเกิดจากการที่เซลล์สมองเสียหายอย่างรุนแรง โดยโอกาสในการฟื้นตัวกลับมาใช้งานได้เป็นปกติจะน้อยกว่าอัมพฤกษ์มาก ผู้ป่วยอาจต้องพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจวัตรประจำวัน หรือต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการเคลื่อนไหว
ทั้งนี้ อัมพฤกษ์อัมพาตเป็นภาวะที่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน คือ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือความผิดปกติอื่น ๆ ของสมองและไขสันหลัง ยิ่งผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาเร็วเท่าไร ก็ยิ่งลดความเสียหายของสมองและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวได้มากเท่านั้น
5 สัญญาณเตือนอาการอัมพฤกษ์ครึ่งซีก รู้ก่อนพิการถาวร

เพราะอัมพฤกษ์ครึ่งซีกเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา บางคนเริ่มมีสัญญาณเตือนเล็ก ๆ แต่กลับมองข้ามเพราะคิดว่าไม่เป็นไร แต่กลับเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ซึ่งระดับความรุนแรงอาการจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการและตำแหน่งสมองที่โดนทำลาย รู้ทัน 5 สัญญาณอัมพฤกษ์อาการ อาการแบบไหนควรรีบพบแพทย์
- มีอาการชา หรือแขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง
- ตามัว หรือมองไม่เห็น
- มีปัญหาการทรงตัว เดินเซ
- ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด ติด ๆ ขัด ๆ พูดไม่เข้าใจ หรือสื่อสารไม่ได้
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดจากอะไร? เปิด 5 สาเหตุหลักเมื่อร่างกายเสี่ยงแบบไม่รู้ตัว
เปิด 5 ต้นตอที่ทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์อัมพาต เมื่ออาการเคลื่อนไหวผิดปกติอาจเป็นสัญญาณอันตรายถึงชีวิตจากโรคที่เป็นอยู่โดยไม่รู้ตัว โดยภาวะอัมพาตอัมพฤกษ์ สาเหตุหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เมื่อสมองขาดเลือดจากโรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือสมองเสียหายจากโรคหลอดเลือดสมองแตก ทำให้ร่างกายซีกใดข้างหนึ่งอ่อนแรง (อัมพฤกษ์) หรือขยับไม่ได้เลย (อัมพาต)
- ได้รับอุบัติเหตุรุนแรงทางสมองหรือไขสันหลัง เช่น รถชน หกล้ม ตกจากที่สูง อาจทำให้ระบบประสาทเสียหายเฉียบพลัน นำไปสู่การเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาต
- เนื้องอกในสมองหรือไขสันหลัง ก้อนเนื้ออาจกดเบียดบริเวณที่ควบคุมการเคลื่อนไหวโดยตรง ส่งผลให้เกิดอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้เช่นกัน
- การติดเชื้อในระบบประสาท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ หรือวัณโรคที่ลามไปสมอง อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองและไขสันหลัง
- โรคเกี่ยวกับระบบประสาทอื่น ๆ เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) โรค ALS (กล้ามเนื้ออ่อนแรง) ก็อาจทำให้เกิดอาการคล้ายอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้เช่นกัน
ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดโรคจนนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์อัมพาต
นอกจากโรคประจำตัวแล้ว ผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตยังสามารถเกิดได้จากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- อายุที่มากขึ้น
- ความดันโลหิตสูง
- เบาหวาน
- ไขมันในเลือดสูง
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- สูบบุหรี่
- ดื่มแอลกอฮอล์มาก
- ภาวะอ้วน
- ไม่ค่อยออกกำลังกาย
- ความเครียดสะสม
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- กรรมพันธุ์จากคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรงเป็นโรคหลอดเลือดสมองจะโอกาสที่จะเป็นผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตสูง
ทำไมต้องรีบฟื้นฟูภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต?

ยิ่งผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟูเร็วเท่าไร ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะกลับมาเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงปกติมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในช่วง 0-6 เดือนแรก (Golden Period) ซึ่งเป็นช่วงนาทีทองที่สมองสามารถเรียนรู้ทักษะและฟื้นฟูเส้นประสาทได้ดี
สรุป 5 วิธีรักษาอัมพฤกษ์ อัมพาตที่ควรรู้ ฟื้นฟูอย่างไรให้ได้ผลจริง
อัมพาตครึ่งซีก รักษาหายไหม คำถามยอดฮิตที่ครอบครัวคาดหวังคำตอบมากที่สุด ซึ่งจริง ๆ แล้วภาวะนี้สามารถรักษาได้ โดยวิธีรักษาอัมพฤกษ์อัมพาตจะขึ้นอยู่กับสาเหตุการเกิด ระดับความรุนแรง และระยะเวลาที่เกิดอาการ โดยแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น CT Scan หรือ MRI เพื่อหาสาเหตุของอาการ และให้การรักษาที่เหมาะสม โดยสามารถแบ่งวิธีการรักษาได้ 5 วิธี ได้แก่
- ใช้ยาสลายลิ่มเลือด (rtPA) หากเกิดจากโรคหลอดเลือดสมองไม่เกิน 4.5 ชั่วโมง
- การรักษาด้วยวิธีผ่านสายสวนหลอดเลือดสมอง กรณีที่เส้นเลือดสมองตีบเส้นใหญ่ ให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้วผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น หรือมารักษาที่โรงพยาบาลช้ากว่า 4.5 ชั่วโมง เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนที่ขาดเลือดได้
- การฝังเข็ม เพื่อกระตุ้นให้ระบบประสาทและสมองที่เสียหายฟื้นตัวและช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังสมองและร่างกายได้ดีมากยิ่งขึ้น
- ควบคุมความดันหรือผ่าตัด หากเกิดจากหลอดเลือดแตก
- รักษาโรคเรื้อรังควบคู่กันไป เช่น เบาหวาน ความดัน หรือไขมันในเลือด
รู้ก่อน ป้องกันได้ วิธีลดความเสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาตด้วยตัวคุณเอง
เพราะโรคอัมพฤกษ์อัมพาตอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ยิ่งรู้ก่อน ยิ่งป้องกันได้ก่อน แค่เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและดูแลตัวเองด้วย 7 วิธีง่าย ๆ ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้โดยไม่ต้องลงทุนมาก
- จัดการความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ
- ปรับพฤติกรรมการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดมัน เค็มและหวาน
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที
- หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (AF) โรคอ้วน เป็นต้น ต้องรับประทานยาและพบหมอตามนัด
- ตรวจสุขภาพประจำปี และพบแพทย์เป็นประจำ เพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดการสูบบุหรี่ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต นอกจากจะช่วยห่างไกลอัมพฤกษ์อัมพาตแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงห่างไกลจากสาเหตุของโรคต่าง ๆ ที่เป็นอย่ารอให้สัญญาณโรคร้ายมาเตือน เริ่มเปลี่ยนแปลงง่าย ๆ วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าเดิม
ฟื้นฟูเร็ว มีชัยไปกว่าครึ่ง แชร์วิธีดูแลผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาตอย่างไรให้เห็นผล

แชร์ 4 เทคนิคการดูแลและฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างไรให้ได้ผลจริง เพราะภาวะอัมพฤกษ์อัมพาตไม่ใช่จุดจบของชีวิต ยิ่งได้รับการดูแลและฟื้นฟูอย่างถูกวิธีเร็วเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติได้เร็วมากขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
การทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง
เพราะอาการอัมพฤกษ์ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ การทรงตัว และความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้ป่วยโดยตรง ทำให้ผู้ป่วยจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนเตียง ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้เกิดภาวะถดถอยทางร่างกาย (Disuse Syndrome) ผู้ป่วยจะเริ่มเหนื่อยหรือเจ็บเมื่อมีการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อแขนขาลีบเล็กลง ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะติดเตียง (Bedridden) ในที่สุด การทำกายภาพบำบัดจึงเป็นหัวใจสำคัญในการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงเดิมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น
- การฝึกพื้นฐานการทรงตัว ตั้งแต่การนั่ง การยืน การเคลื่อนไหวร่างกาย และการเดินตามลำดับ
- การยืดเหยียด ดัดข้อต่อ เพื่อป้องกันข้อต่อยึดติดและกล้ามเนื้อลีบฝ่อ
- การใช้เครื่องมือช่วยพัฒนาแรงและความยืดหยุ่น
เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อซีกที่อ่อนแรงให้กลับมาทำงานได้มากขึ้น โดยซีกที่ไม่มีอาการอ่อนแรงจะต้องแข็งแรงมากกว่าเดิม เพื่อเป็นกล้ามเนื้อหลักในการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตควรทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ (Intensive Rehabilitation) อย่างน้อยวันละ 2 ชม.ขึ้นไป และ 3-4 วันต่อสัปดาห์ขึ้นไป
การฝึกพูดและกลืน
สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการสื่อสาร เช่น ลิ้นแข็ง ไม่สามารถสื่อสารได้ หรือพูดติด ๆ ขัด ๆ หรือมีปัญหาการทานอาหาร เช่น มีอาการสำลักบ่อย หรือไม่ค่อยยอมกลืนอาหาร (ภาวะกลืนลำบาก) มีสายอาหาร (NG Tube) ผู้ที่มีปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการฝึกกับนักกิจกรรมบำบัด (OT) หรือนักอรรถบำบัด (ST) โดยตรง เพื่อฟื้นฟูการออกเสียง การใช้ลิ้น และกล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูดหรือการกลืนโดยเฉพาะ
การฝึกกิจวัตรประจำวัน (ADL Training)
นอกจากนี้ การฝึกกิจวัตรประจำวัน (ADL Training) เองก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจาก ผู้ป่วยที่มีภาวะอัมพฤกษ์ครึ่งซีก ส่วนใหญ่จะไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อในซีกที่อ่อนแรง จนเกิดภาวะเมินต่อข้างที่อ่อนแรง (Neglect Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้ป่วยจะแสดงอาการเพิกเฉย ไม่สนใจร่างกายด้านที่มีอาการอ่อนแรง และใช้แรงแต่ซีกที่ยังแข็งแรงอยู่เป็นหลัก จนเหมือนไม่มีร่างกายอีกซีกอยู่ การทำกายภาพบำบัดควบคู่กับการฝึกกิจวัตรประจำวัน (ADL Training) เช่น
- การฝึกการรับประทานอาหาร
- การฝึกเข้าห้องน้ำ
- ขับถ่าย
- อาบน้ำ
- สระผม
- แปรงฟัน
- ใส่เสื้อผ้า
- หรือใส่รองเท้าด้วยตัวเอง ฯลฯ
จะมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Quality of life) ช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาคนรอบข้าง สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่มากยิ่งขึ้น
สนับสนุนจากครอบครัวและกำลังใจผู้ป่วย
และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูความสามารถของผู้ป่วย คือ กำลังใจหรือการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ผู้ดูแลหรือสมาชิกในครอบครัวควรเข้าใจสภาวะทางจิตใจของผู้ป่วย คอยให้กำลังใจเสมอ ไม่กดดัน และดูแลอย่างเข้าใจ เมื่อผู้ป่วยมีแรงใจและสภาพจิตใจที่พร้อม ก็จะทำให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการทำฟื้นฟูสมรรถภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีพัฒนาการมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่กำลังมองศูนย์ฟื้นฟูภาวะอ่อนแรง หรืออัมพฤกษ์ อัมพาตโดยเฉพาะ ด้วยการทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัดในรูปแบบ Intensive ผ่านการออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้การฟื้นฟูผู้ป่วยมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
- ศูนย์ PNKG Recovery and Elder Care ชั้น 2 โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น. จันทร์ – เสาร์ (ปิดบริการวันอาทิตย์)
- Tel : 080-910-2124
- Line : PNKG
- Facebook : PNKG Recovery and Elder Care
คำถามที่พบบ่อย
ภาวะอัมพฤกษ์ครึ่งซีก มีโอกาสรักษาให้หายได้สูง หากผู้ป่วยได้รับรักษาเร็วและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง โดยภาวะอัมพาต อาจไม่ไม่สามารถรักษาหายขาได้ แต่สามารถฟื้นฟูความสามารถให้ดีขึ้นได้ โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ เวลาทอง หากพบผู้ป่วยมีสัญญาณเตือนของภาวะนี้ ควรรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลภายใน 4.5 ชั่วโมง จะยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและฟื้นตัวได้ดีมากที่สุด
อัมพาต : เป็นภาวะอ่อนแรงครึ่งซีกเช่นกัน แต่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ โดยอาจจะฟื้นตัวได้บ้าง แต่ใช้เวลานาน และต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอย่างเข้มข้นหรือนานกว่าอัมพฤกษ์ ประกอบกับการช่วยเหลือในชีวิตประจำวันร่วมด้วย
อัมพาตครึ่งซีกไม่สามารถหายขาด 100% ได้ในทุกกรณี แต่ถ้าได้รับการรักษาเร็วและการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งมีโอกาสฟื้นตัวได้มาก และกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ระดับความรุนแรงของโรค : ถ้าสมองได้รับความเสียหายเยอะ โอกาสในการฟื้นฟูก็จะยิ่งยาก
- ระยะเวลาในการเข้ารับการรักษา : ถ้าไปโรงพยาบาลภายใน 4.5 ชั่วโมง จะมีโอกาสรักษาให้ฟื้นตัวได้มากกว่า
- อายุ
- โรคประจำตัว
- การทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และอรรถบำบัด

Content Writer มีประสบการณ์ด้านงานเขียนสุขภาพ การฟื้นฟูสมรรถภาพ และให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รวมถึงโรคอื่น ๆ ในแบบฉบับเข้าใจง่ายมากกว่า 5 ปี




