โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คืออะไร? ทำความรู้จักโรค Stroke เกิดจากอะไร? โรคร้ายที่ทำให้มีคนเสียชีวิตมากเป็นอันดับ 3 ของโลก Stroke มีกี่ประเภท พร้อมเปิด 19 ปัจจัยเสี่ยงกระตุ้นโอกาสในการเกิดโรค รู้ก่อนรอด ปลอดอัมพาต กับ 6 สัญญาณ Be Fast Stroke โรคหลอดเลือดสมอง อาการเด่นที่สังเกตได้ มีอะไรบ้าง? แล้วถ้ามีอาการสโตรก รักษาหายไหม? PNKG Recovery and Elder Care รวมคำตอบมาให้แล้ว
รู้จักโรคหลอดเลือดสมอง คืออะไร?
โรคหลอดเลือดสมอง หรือรู้จักกันในอีกชื่อว่า สโตรก คือ ภาวะสมองขาดเลือด ซึ่งอาจเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) หรือหลอดเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน และตายในที่สุด นำไปสู่ความพิการทางร่างกาย หรือเสียชีวิตได้
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) มีกี่ประเภท?
โดยทั่วไปโรคเส้นเลือดในสมอง สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทหลัก ๆ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

โรคหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke)
เป็นประเภทสโตรกที่เกิดจากเส้นเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองตีบหรืออุดตัน ซึ่งสามารถเกิดได้หลายปัจจัย เช่น
- อายุ
- ความดันโลหิต
- ไขมัน
- เบาหวาน
- โรคหัวใจ
- ขาดการออกกำลังกาย
- รับประทานอาหารที่มีไขมันและเกลือสูง เป็นต้น
เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังข้างต้นเป็นเวลานาน ๆ จะส่งผลให้ผนังหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน ทำให้เลือดไหลผ่านได้น้อยลง เมื่อสมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ก็จะทำให้สมองส่วนนั้นเสียหายจนไม่สามารถควบคุมการทำงานของร่างกาย นำไปสู่อัมพฤกษ์ อัมพาตในที่สุด
โรคหลอดเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)
มักจะเกิดขึ้นเมื่อผนังหลอดเลือดอ่อนแอ หรือเปราะบาง ซึ่งอาจเกิดจากความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น
- อะไมลอยด์ (Amyloid)
- กลุ่มอาการเส้นเลือดผิดปกติ (เส้นเลือดโป่งพองตั้งแต่กำเนิด ภาวะหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำผิดปกติในสมอง หรือ AVM)
- เนื้องอกในสมองหรือมะเร็งสมอง เป็นต้น
ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดเปราะ และฉีกขาดได้ง่าย ๆ เมื่อมีเส้นเลือดในสมองแตก เลือดในที่ไหลจะไปกดทับเนื้อเยื่อในสมอง ทำให้เซลล์สมองบริเวณนั้นขาดออกซิเจนและเสียหายในที่สุด
19 สาเหตุหลักกระตุ้นให้การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
สาเหตุการเกิดสโตรกหลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งได้ 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ และปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุม
ปัจจัยเสี่ยงกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคเส้นเลือดในสมองที่สามารถควบคุมได้ สามารถแบ่งได้ 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และโรคประจำตัว
พฤติกรรมการใช้ชีวิต
- รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และรสเค็ม
- การสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ขาดการออกกำลังกาย
- ความเครียดสะสม : ส่งผลต่อความดันโลหิต เพิ่มโอกาสในการเกิดโรค
- พักผ่อนไม่เพียงพอ : เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน หัวใจ และโรคอ้วน ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคสโตรก
โรคประจำตัว
- เบาหวาน
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันสูง
- โรคหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคลิ้นหัวใจติดเชื้อ เป็นต้น
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ส่งผลให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อรักษาระดับออกซิเจน กระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้หลอดเลือดหดตัว
- ทำให้ความดันสูงขึ้น ในช่วงที่มีภาวะหยุดหายใจ เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
- กระตุ้นการอักเสบของผนังหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด
ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้
ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ สามารถเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น อายุ เพศ เชื้อชาติ เป็นต้น
ความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
- ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) : เป็นภาวะที่ผนังหลอดเลือดแดงหนาขึ้น จากการสะสมไขมัน และคอเลสเตอรอล ทำให้หลอดเลือดสมองตีบ และอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด หรือเส้นเลือดในสมองแตกได้
- เส้นเลือดผิดปกติ เช่น เส้นเลือดโป่งพองตั้งแต่กำเนิด (Aneurysm) ภาวะหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำผิดปกติในสมอง (AVM) ทำให้หลอดเลือดเจริญผิดปกติ เปราะบางและแตกง่าย เมื่อมีความดันเลือดไหลผ่าน ผนังหลอดเลือดจะโป่งพองคล้ายถุงลม และมีโอกาสแตกได้ตลอดเวลา
- โรคหลอดเลือดผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) CADASIL โรคโมยา โมยา (Moyamoya Disease) เป็นต้น
- การเซาะตัวของผนังหลอดเลือดที่คอ (Carotid or Vertebral artery dissection) : เป็นภาวะการฉีกขาดของผนังด้านในหลอดเลือดบริเวณลำคอที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ทำให้เกิดลิ่มเลือดในที่สุด
ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมโอกาสในการเกิดสโตรกได้ เช่น
- อายุ : ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป
- เพศ : เพศชายมีความเสี่ยงที่จะเป็นสโตรกมากกว่าเพศหญิง ในทางกลับกัน เมื่ออายุมากขึ้น เพศหญิงมีโอกาสที่จะเป็น Stroke และเสียชีวิตมากกว่าเพศชาย
- เชื้อชาติ : บางเชื้อชาติมีความเสี่ยงมากกว่าเชื้อชาติอื่น เช่น คนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
- สมาชิกในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นสโตรก
- การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง อาการเป็นอย่างไร? เช็ก 5 อาการสัญญาณสโตรกที่สังเกตได้

รู้จัก be fast stroke 5 สัญญาณ Stroke อาการที่สามารถสังเกตได้ โรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเผชิญ หมั่นสังเกตคนใกล้ตัว หากพบ 5 อาการดังต่อไปนี้ ควรส่งตัวไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
- B – Balance : การทรงตัวผิดปกติ ทรงอยู่ไม่ได้ หรือเดินเซ มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน อาจมาพร้อมกับอาการอาเจียน
- E – Eye : ตามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นอย่างเฉียบพลัน
- F – Face : หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว มุมปากตก
- A – Arms : แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ข้างใดข้างหนึ่ง ยกไม่ขึ้น หรือไม่มีแรง
- S – Speech : พูดไม่ชัด ไม่รู้เรื่อง ลิ้นแข็ง พูดไม่เป็นคำ หรือพูดตะกุกตะกัก
และตัวสุดท้ายกับ T – Time : เมื่อพบคนใกล้ตัว หรือตัวเองมีอาการตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ควรไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดภายใน 4.30 ชั่วโมง เพื่อลดความเสียหายของสมอง ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมลดโอกาสเสียชีวิตได้อย่างตรงจุด
5 ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เมื่อผู้ป่วยมีอาการสโตรก
สำหรับภาวะที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเส้นเลือดสมอง จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สมองขาดเลือด และบริเวณสมองที่ได้รับผลกระทบ โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบหลัก ๆ จะแบ่งได้ 5 รูปแบบ ดังนี้
อัมพาต
หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งเกิดจากการความเสียหายของเซลล์สมองบริเวณที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ความจำสูญหาย สับสน
ผู้ป่วยจะมีปัญหาในการจดจำข้อมูลใหม่ ๆ หรือสับสนกับความทรงจำในอดีต เช่น จำเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ ลืมชื่อคนหรือสิ่งของ สับสนเวลาและสถานที่ เป็นต้น
มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร และความเข้าใจ
เป็นอีกหนึ่งภาวะที่พบบ่อยหลังผู้ป่วยมีอาการสโตรก ซึ่งเกิดจากความเสียหายบริเวณสมองที่ควบคุมการสื่อสาร บางรายอาจมีปัญหาเรื่องความเข้าใจ การวิเคราะห์และการตัดสินใจ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งรวมถึงการอ่าน และการเขียนด้วย
ภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia)
ภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia) คือ ภาวะที่สมองที่ควบคุมการกลืนได้รับความเสียหาย ทำให้กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกลืนทำงานผิดปกติ โดยภาวะนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการสำลักหรือไอขณะดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหาร ลดคุณภาพชีวิต และยังมีโอกาสปอดติดเชื้อจากอาการสำลักได้อีกด้วย
อารมณ์แปรปรวน
ผู้ป่วยจะพบปัญหาในการจัดการอารมณ์ อารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่ารวดเร็ว หงุดหงิดง่าย ซึ่งเกิดจากความเสียหายของสมอง ความเครียด และภาวะซึมเศร้าที่อาจเกิดขึ้นได้
โรคหลอดเลือดสมอง วิธีรักษา

การรักษาสโตรก จะขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของโรค เพื่อลดความเสียหายของเซลล์สมองให้มากที่สุด และช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูสมรรถภาพกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยสามารถแบ่งวิธีการรักษาได้ 3 วิธี ได้แก่ การรักษาด้วยยา สายสวน และการผ่าตัด
การรักษาสโตรกด้วยยา
- ยาละลายลิ่มเลือด : ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดในสมองที่มีลิ่มเลือดอุดตัน เพื่อสลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสของการฟื้นตัวจากความพิการให้กลับมาปกติหรือใกล้เคียงปกติได้มากถึง 30-50% และลดโอกาสเสียชีวิตได้
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด : เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดใหม่ โดยจะทำให้เลือดแข็งตัวช้ากว่าปกติ เช่น Warfarin, Apixaban เป็นต้น
- ยาลดความดันโลหิต : ใช้ควบคุมความดันโลหิตให้คงที่ ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมอง
- ยาลดไขมัน : ลดระดับคอเลสเตอรอล (LDL) ในเลือด เช่น Atorvastatin (Lipitor), Rosuvastatin (Crestor) เป็นต้น
การรักษาด้วยการใส่สายสวน
การรักษาด้วยการใส่สายสวน เป็นหนึ่งในเทคนิคการรักษาโรคเส้นเลือดในสมอง เพื่อลดความเสียหายของเซลล์สมอง และเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้อีกด้วย
การรักษาด้วยการผ่าตัด
ส่วนการรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นวิธีที่ใช้กรณีรักษาสโตรกด้วยยาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น อาการสมองขาดเลือด หลอดเลือดสมองแตก หลอดเลือดสมองโป่งพอง เป็นต้น
ทั้งนี้ วิธีการรักษาทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นและการฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วยจะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อ
- ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ทันเวลา ยิ่งเร็วมากเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นเท่านั้น
- ความรุนแรงของโรค
- โรคประจำตัว
- ความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้น
- เทคนิคและวิธีที่ใช้ในการรักษา
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น การป้องกันภาวะแทรกซ้อน การทำกายภาพบำบัดเข้มข้นและต่อเนื่อง กำลังใจจากคนในครอบครัว ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการฟื้นตัวสมรรถภาพผู้ป่วยทั้งหมด
โรคหลอดเลือดสมอง วิธีป้องกัน
โรคหลอดเลือดสมอง สามารถป้องกันได้ หลัก ๆ แล้ว จะเน้นป้องกันจากสาเหตุการเกิดโรค รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการสโตรก ได้แก่
- ตรวจสุขภาพประจำปี
- ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง รสจัด และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคเบาหวาน
- ผ่อนคลายจากความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่เกณฑ์ปกติ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
- การรักษาและควบคุมปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การรักษาโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และการงดสูบบุหรี่
สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการกายภาพบำบัดอย่างเข้มข้น รวมถึงกิจกรรมบำบัด เพื่อฟื้นฟูประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย ควบคู่ไปกับการดูแลทางด้านจิตใจ ด้วยศาสตร์แห่งไคโก-โดะ ศาสตร์การฟื้นฟูแบบฉบับญี่ปุ่นที่มีประสิทธิภาพ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
- ศูนย์ PNKG Recovery and Elder Care ชั้น 2 โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น. จันทร์ – เสาร์ (ปิดบริการวันอาทิตย์)
- โทร : 080-910-2124
- Line : PNKG
- Facebook : PNKG Recovery and Elder Care
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดในสมอง
Stroke คืออะไร?
สโตรก หรือโรคหลอดเลือดสมอง คือ ภาวะที่เกิดจากการที่หลอดเลือดสมองอุดตันหรือแตก ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เซลล์สมองจึงขาดออกซิเจนและสารอาหาร ทำให้เซลล์สมองตายในที่สุด
โรคหลอดเลือดสมอง มีกี่ประเภท?
สโตรก สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
1. โรคเส้นเลือดในสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke) เกิดจากการที่หลอดเลือดสมองอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ อาจเกิดจากลิ่มเลือดที่หลุดมาจากส่วนอื่นของร่างกายมาอุดตัน หรือเกิดจากไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือดจนทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง
2. โรคเส้นเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic stroke) เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ทำให้เลือดออกภายในสมอง ซึ่งอาจเกิดจากความดันโลหิตสูง หรือจากหลอดเลือดสมองโป่งพอง เป็นต้น
อาการสโตรก เกิดจากอะไร?
1. ความดันโลหิตสูง
2. โรคเบาหวาน
3. ไขมันในเลือดสูง
4. การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์หนัก
5. โรคหัวใจ
6. อายุ
7. พันธุกรรม
8. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
อาการสโตรก รักษาหายไหม?
โดยทั่วไปสโตรก สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับเวลาที่เข้ารับการรักษา ตำแหน่งความเสียหายในสมอง ความรุนแรงของอาการ อายุ โรคประจำตัว และอื่น ๆ อีกมากมาย และเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำกายภาพบำบัดอย่างเข้มข้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 0-6 เดือนแรก หลังมีอาการ หรือที่เรียกว่า Golden Period จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทำความรู้จัก Golden Period คือ? Golden Period สำคัญยังไงกับผู้ป่วยสโตรก : อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่